
วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
มนุษย์ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ก็ยังหาที่พึ่งทางใจ

กฏง่ายๆคือคนเรามักไม่ได้เข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา
และคนเราอยู่กับความไม่รู้ จึงแสวงหาที่ยึดเหนี่ยว
สำหรับผมก็ต้องพระในหลวงครับ เพราะเป็นทั้งพ่อแห่งแผ่นดิน และปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ถึงจะนิ่งแล้วจากการหาที่พึ่งทางใจ แต่ก็มีคุณค่าแก่การศิระกรานอย่างสูงสุดในหัวใจ
วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551
ตั้งหลักให้มั่นคง
.....ครูโหรท่านเป็นชาวสวน “ไม้ค้อมมีลูกน้อม นวยงาม”
ความหมาย ก็คือ กิ่งไม้ที่ตรงสวยชี้ฟ้า ชูเด่น นั้น เพราะมันเบา ไม่มีลูกไม้
แต่ไม้ที่ค้อมลงต่ำ ยิ่งต่ำลงก็เพราะมันหนักด้วยผล ยิ่งมีผลงามมาก ยิ่งค้อมลงมาก ผลนั้นย่อมต้องคล้อยต่ำกว่ากิ่ง ลงเรี่ยติดดิน เปรียบเหมือนมนุษย์เราที่อวดชูเด่น ก็คือกิ่งไม้ที่ตรงชี้ฟ้า ไม่มีคุณค่าเท่าปราชญ์ผู้มีความรู้ล้ำค่า แต่อ่อนน้อมถ่อมตน สิ่งที่สูงสุดคือการกลับคืนลงสู่สามัญ กิ่งไม้ที่ตรงชี้อวดชูตนเองนั้น แม้เราจะแขวนลูกไม้ไว้ให้สักเท่าใด ก็ไม่สามารถรับได้เพราะไม่รู้จักน้อมลงรับคุณค่า ของลูกไม้ มีแต่จะหักโค่นลงเพียงต้องลมพายุฤดูเดียว
.....เรา ต้องเข้าใจก่อนว่า โหราศาสตร์นั้น เหมือนต้นไม้ที่มีหลายกิ่งก้านแหละกิ่งแขนงมากมาย ถ้าหยิบหนังสือขึ้นมาสักเล่มจะไม่รู้เลยว่าเรากำลังอยู่ที่แขนงไหน กิ่งไหน ดังนั้นบางคนที่อ่านหนังสือหลายเล่มก็จะเอามารวมกันไปโดยไม่รู้ตัว เวลาเป็นอาจารย์ใครก็สอนลูกศิษย์ไปทั้งอย่างงั้นแหละ
โหราศาสตร์ไทยเดิมแท้นั้น มีหลักแม่บทอยู่ที่เรื่อง “ธาตุ”
ต่อมามีคนเอาหลักโหรอื่น เช่นสากลบ้าง ฝรั่งบ้างอินเดียบ้าง จีนบ้าง มาผูกรวมกัน แล้วเรียกว่า โหราศาสตร์ไทยประยุกต์ มีตั้งแต่ประยุกต์น้อยๆ ไปจนถึงประ ยุกต์กันใหญ่ ดูไม่รู้ว่าเป็นไทยเผ่าไหน เมืองไหน
ได้ยินอาจารย์บางคน สอนลูกศิษย์ว่าได้มาจากเมืองบาบิโลนนั่นทีเดียว ทำให้พวกเราหาแก่นของเรื่องไม่เจอ การเรียนโหราศาสตร์ไทยจึงต้องพยายามเกาะไปตามกิ่งใหญ่ของโหราศาสตร์ระบบธาตุ ไม่ออกทางกิ่งแขนงจนเกินเลยไป เดี๋ยวจะพากันไปตกต้นไม้ ทั้งคนสอน คนเรียน ขาหักทั้งคู่
......ขั้นแรกเรื่องการผูกดวงชะตา
ให้ใช้ปฏิทินสุริยาตรชนิดมีองศาหรือไม่มีก็ได้
การวางลัคนา ให้ใช้เวลาท้องถิ่นที่เกิด โดยเอาเวลาเกิดตัดเวลานาฬิกาให้ถูกต้อง
เมื่อตัดเวลาแล้ว ให้ใช้อันโตนาทีสามัญคำนวนหาตำแหน่งองศาลัคนา
หรือหากใช้แผ่นหมุนก็หมุน เอาตำแหน่ง 6:00 น। ตั้งต้นหาลัคนา แล้วไปขั้นที่สอง
.......ขั้นที่สอง ให้ตรวจสอบลัคนา ที่โหรเรียกว่า “สอบลัคนา”
ซึ่งต้องตรวจสอบจากเรื่องส่วนตัวและเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อให้เชื่อได้ว่าลัคนาอยู่ที่ไหน
ลัคนาเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ ถึงไม่รู้ก็ต้องหา ไม่งั้นจะขาดความรู้จำนวนมาก
ใครไม่รู้วิธีวางลัคนา ก็ไปให้คนอื่นทำให้ก่อน
......มาถึงตรงนี้ต้องออกกิ่งแขนง เพราะจะเกิดปํญหาสงสัยมากมายในหมู่ผู้เรียน
ถ้าไม่พูดถึง ก็จะทำให้ลังเลจนเรียนต่อไม่รู้เรื่อง ปัญหาหลักจะมีอยู่ 2 ข้อใหญ่
(1।) .....เรื่องจักรราศี ปฏิทินสุริยาตรใช้จักรราศีแบบคงที่ หรือที่เรียกนิรายนะ
จริงๆแล้วเรียกผิด แต่โหรไทยขี้เกียจแก้ เพราะเรื่องใหญ่ๆยังมีอีกตั้งภูเขาเลากา
บางปฏิทินที่ใช้แบบสายนะมาตัดอายนางศะ ให้ปิดเก็บไว้ ปฏิทิน และตำราที่ใช้สายนะก็เก็บ เพราะใช้เรื่องธาตุจะเกิดช่องให้มีปัญหา
(2).....เรื่องตัดเวลา การผูกวางลัคนาตามที่บอกไว้ข้างบน คนหัวหมอจะเห็นว่าไม่ถูก เหตุที่ทำง่ายๆเช่นนั้นเพราะความสำคัญอยู่ที่ต้องสอบลัคนา ไม่ว่าจะคำนวณโดยเทคนิคอะไร แผ่นหมุนที่ใช้อันโตนาทีสารัมภ์ก็เก็บไว้ก่อน
นอกจากนั้นบางคนที่ชอบเข้าไปในเว็บที่มีการผูกดวงอัตโนมัติ ว่าผมผูกดวงเอง แล้วเอามาถาม ว่าช่วยดูหน่อยว่าผมผูกดวงผิดตรงไหน ก็ขอให้เลิกใช้ เพราะคุณไม่รู้ว่าเขาโปรแกรมคำนวนไว้อย่างไร ตัดเวลาอย่างใด
००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००
......หนังสือที่ใช้ จะใช้ของใครก็ตามใจ ดูที่มีเนื้อหาครบๆ ซื้อมาสักสองสามเล่มมาเทียบกันดู
แล้วก็ต้องปล่อยวางลงก่อน หันกลับมาตั้งใจใหม่ ไม่ว่าจะเรียนมาแล้วกี่ปีก็ตาม ลองทำตามนี้ จะไม่ผิดพลาด
***ขั้นแรก ลัคนาเป็น สิ่งสำคัญในการกำหนดเรือน
เรือนที่หนึ่ง ที่ลัคนาอยู่คือ ตนุ ถัดไปคือ กดุมภะ สหัชชะ พันธุ ปุตตะ อริ ปัตนิ มรณะ ศุภะ กัมมะ ลาภะ วินาสน์ รวม 12 เรือน
เมื่อเราใช้จักรราศีคงที่ ซึ่งเป็นหลักเดียวกับการวางระบบธาตุแล้ว จะเห็นว่า “ เรือนจะซ้อนทับกับราศี” พอดี ดังนั้น เวลานี้เรากำลังดูเห็นดวง 2 ชั้น คือ ดวงจักรราศี และ ดวงของเรือน เป็นดวงชะตาในตัวของเรา ดวงของเรือน ที่เกิดจากลัคนานี้ เรียกว่า ....”ดวงเรือนชะตา”
......ดวงเรือนชะตา มีแต่ตัวเรือนที่เป็นธาตุ ทั้ง 12 เรือนมี 12 เกษตรธาตุ
ตัวเลขดาวที่เราลงไว้จากปฏิทินมีอยู่ 10 ดวง คือ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ เรือนแบบไทย ที่เรียกเกษตร 2 เรือน
เราพอทราบว่า ตัวเลขแทนดาวใดเป็นเจ้าเรือนใด เช่น ลัคนา ราศีธนู ๕ เป็นเจ้าเรือนตนุ และพันธุ คงไม่ต้องสอนอีก แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่า เมื่อกำหนดว่า ตัวเลขใดเป็นเจ้าเรือนอะไรแล้ว ห้ามอ่านชื่อดาวเป็นอันขาด เพราะในเรือนชะตานี้ ตัวเลขทำหน้าที่ของเจ้าเรือน เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นดาวอะไร เช่น เราอ่านว่า “เจ้าเรือนพันธุ” ห้ามหลุดปากคำว่า “พฤหัส” ออกมา เพราะพฤหัสไม่เกี่ยว เช่น
เราอ่านเจ้าเรือนดังนี้ เจ้าเรือนตนุไปอยู่เรือนกัมมะ หรือสั้นๆว่า ตนุ - กัมมะ
ตนเองจะไปเกี่ยวข้องกับอาชีพการงาน แล้วตามเจ้าเรือนกัมมะที่ ตนุนั้นอยู่ไปอีก
เช่น กัมมะไปอยู่วินาสน์ อาชีพการงานที่ลับๆ คาดหมายยาก อ่านเช่นนี้โดยไม่อ่านดาว และต้องไปฝึกอ่านเอง ความหมายเรือนทั้งหลายในหนังสือก็พอใช้ได้ ใช้ไปก่อน เลือกเอาความหมายง่ายๆ พื้นฐานมาก่อน
อย่าไปเลือกที่หวือหวาแต่ผิดง่าย เช่น ลาภะ - น้องเมีย กัมมะ – พ่อตา อะไรแบบนั้น
เพราะเรายังไม่เข้าใจเรื่องนี้จริง ขอให้อ่านทุกเรือนเช่นนั้นไปให้หมด โดยไม่เอ่ยชื่อดาวเลย ดูดวงตัวเองก็ได้ จนจำฝังใจ
........เมื่อสามารถยึดหลักเรือนชะตาได้แล้ว ให้ปล่อยวางลง
ไปฝึกดูดวงจักรราศี ที่มีแต่ดวงดาว ถึงตอนนี้ ตัวเลขเหล่านั้นคือดาว หรือธาตุดาวเท่านั้น เจ้าเรือนไม่เกี่ยว
ให้อ่านแต่ดาว โดยคุณสมบัติดาว โดยไม่อ่านเจ้าเรือนเลย แต่ยังคงอ่านเรือนอยู่
เช่น อังคารอยู่ในเรือนกดุมภะ เจ้าชะตาขยันหาสมบัติ และในเมื่อไม่มีเจ้าเรือน ก็ไม่ต้องอ่านตามอะไรไปอีก
อ่านให้หมดทั้งดวง ทุกดวง เช่นนี้ เป็นอันจบวิชาโหราศาสตร์แล้ว
การอ่านเช่นนี้ยึดเป็นบันไดขั้นแรกไปจนตลอดชีวิตการเป็นโหร เหมือนตุ๊กตาล้มลุก แม้จะถูกผลักให้เอียงไปสักเท่าใด กี่ครั้งๆ ก็ยังกลับมาที่หลักเหมือนเดิม
००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००
***โหราศาสตร์ไทยมีแก่นเนื้อหาเพียงเท่านี้เท่านั้น
เคล็ดลับที่พวกเราแสวงหามีอยู่ข้างบนนี้แหละ ไม่ต้องตีความอะไรเลย ขอให้เชื่อเถอะ การที่พวกเราไม่เห็นเคล็ดลับ ก็เพราะเอาอะไรมาเทกลบมาทับมันจนมองไม่เห็น แล้วก็วิ่งไปเสาะแสวงหาตามที่ต่างๆ พอเขาไม่ให้ ก็คิดว่าหวงวิชา ดังนั้นภาระที่เรามีก็คือต้องเอาสิ่งกลบทับมันเอาเสียก่อน สิ่งแรกคือความลังเลสงสัยในใจเรานั่นแหละ
.....แล้ววิชาต่างๆที่มีอยู่มากมายมันคืออะไรเล่า
วิชาเหล่านั้น มันคือคำอธิบาย ว่าเราทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ตามที่อ่านเรือนอ่านดาว ทำไปทำไม มาจากไหน มันเหมือนกับเว็บไซท์ที่ผมเคยว่าไว้ ว่ามันเป็นที่มาจากเบสิกอิเลคทรอนิกส์ เรื่อยมาจน กลายมาเป็นเว็บที่เราดูอยู่เท่านั้น ถ้าเราไม่สนใจว่ามันมาได้อย่างไร โหราศาสตร์ก็จบลงเพียงเท่านี้
***ถึงตรงนี้ต้องกระโดดออกนอกทางไปอีกรอบ
หลายคนชอบติดเรียกคำว่า “ภพ” แทน “เรือน” ปนกันไป ผมไม่อยากขัดใจกับใคร เอาเป็นว่าให้ลืมคำว่า “ภพ” ไปก่อนหลังจากอ่านย่อหน้านี้จบ ก็เลิกพูดเลย แต่ต้องเคลียร์เรื่องภพไว้ก่อน
ดวงชะตาระบบเกษตรธาตุนี้ ใช้ “ราศีจักร” หมายความว่าใช้ราศีเพื่อกำหนดเรือน
แต่โหราศาสตร์ไทยประยุกต์จากจักรราศีสายนะ จะใช้เรือนชะตาที่เรียกว่า “ภวจักร” ใช้ “ภวะ หรือ ภพ” กำหนดเรือน ทำให้พวกเรากว่าครึ่งไปไหนไม่ถูก เพราะไม่รู้ตัว ว่าตัวเองยืนอยู่ตรงไหนในเส้นทางโหราศาสตร์ ขอให้เข้าใจว่า “ภวจักร” นั้นดี แต่ต้องรู้จักใช้จึงจะเดินได้ถูก แต่บางคนก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถือตำราภวจักรอยู่ เพราะเขาไม่ได้บอก จึงต้องให้เห็นพอสังเขป มิฉะนั้นก็จะมีคนถามจนได้ เรือนภวจักร กำหนดได้หลายแบบ แต่ที่นิยมใช้เป็นหลักมีอยู่ 3 แบบ คือ
(1)......กำหนดองศาลัคนาที่คำนวนได้ เป็นจุดกลางเรือนที่หนึ่ง ที่เรียกว่า “มัธยภพ” เส้นขอบเรือนก็จะบวกไป 15 องศาทั้งสองข้าง ดังนั้น เรือนถัดไป ก็จะบวกอีก 30 องศาเรื่อยไป จนครบ 12 เรือน
(2).......กำหนดองศาลัคนาที่คำนวณได้เป็นจุดเริ่มเรือนที่หนึ่ง เรือนที่สองก็บวก 30 องศาไปเรื่อยๆ
(3).......กำหนดปัจจัยอันใดอันหนึ่งเป็นจุดกลางเรือน แล้วแต่ว่าจะพิจารณาเรือนใด
.......ผู้ที่นำตำราบรรยายด้วยภวจักรมาใช้ ไม่อาจนำมาใช้กับระบบธาตุราศีจักรได้ครบ เพราะภวจักรใช้ดูดาวและปัจจัย แต่ดวงเรือนชะตาดูจากเกษตรธาตุ
การเหลื่อมราศีทำให้อ่านเจ้าเรือนสับสน แม้ภวจักรจะอ่านระบบเจ้าเรือนได้ในระดับประยุกต์ ก็ควรที่ผู้เรียนจะเข้าใจดวงชนิดนี้ให้ดีเสียก่อน มิฉะนั้นจะตกต้นไม้
००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००
***เมื่อถึงตรงนี้ ขอให้ผู้คิดจะเรียนโหราศาสตร์ไทย ตั้งกฏของตัวเองไว้ดังต่อไปนี้
หนึ่ง.....ข้าจะอ่าน เรือนเกษตรและเจ้าเรือนเกษตร อ่านคุณสมบัติดาวและเรือนเกษตร เป็นหลัก สองอย่างนี้ให้มั่นคง
สอง......ไม่ยึดเรือนอื่นใดอีกนอกจากราศีจักร
สาม.... .มหาทักษา อ่านได้ ใช้ได้แต่ทักษาดวงเดิม ถ้าใช้แล้วความหมายข้างบนผลิกผันไป ให้ยกออกพับเก็บก่อน ทักษาจรให้ใส่เซฟไว้
สี่..........อ่าน เกษตร - มีเรื่อยๆ ประ - ไม่ค่อยมี อุจ - เด่นขึ้นมา นิจ - ด้อยลงไป เพียงสี่ตำแหน่งนี้เท่านั้น
ตำแหน่งมาตรฐานอื่นไม่ต้องอ่านให้พักเก็บเอาไว้
ห้า......จะยังไม่อ่านเรื่องธาตุใดๆ นอกจากข้อหนึ่ง ไม่อ่านองศา ไม่อ่านเกณท์อะไรทั้งหมด ไม่อ่านนวางค์ ตรียางค์ ไม่อ่านนักษัตร ไม่อ่านกาลโยค ให้พักเก็บเอาไว้ ในตู้เซฟ
หก......โหราศาสตร์อื่นใดนอกเหนือจากนี้ อยากอ่านก็อ่านได้ แต่ต้องปล่อยวางลง เขียนปิดไว้ว่า ตราบใดยังไม่เข้าใจโหราศาสตร์ไทยจริงๆ จะไม่ไปเปิดอ่าน
***เมื่อเรียนถึงตรงนี้ให้มั่นคงแล้ว ให้เตรียมตัวคอยเหตุการณ์ สองประการ
หนึ่ง.....คอยอาจารย์ ถ้าดวงคุณมีวาสนาอยู่ จะพบท่านเอง ไม่ต้องแสวงหาไปไกล
สอง....คอยอาจารย์ในตัวคุณเอง ไปส่องกระจกเงาดู มองให้ตรงๆ ผู้นั้นแหละคืออาจารย์
ถ้าคุณบ่มเพาะสติปัญญา รู้จักคิดหาเหตุผลโดยไม่ต้องรอโชควาสนา อาจารย์ผู้นี้จะมาเอง แล้วสิ่งต่างๆที่บอกให้คุณเก็บเอาไว้นั้น ให้งัดขึ้นมาอ่านได้ทั้งหมด
ความหมาย ก็คือ กิ่งไม้ที่ตรงสวยชี้ฟ้า ชูเด่น นั้น เพราะมันเบา ไม่มีลูกไม้
แต่ไม้ที่ค้อมลงต่ำ ยิ่งต่ำลงก็เพราะมันหนักด้วยผล ยิ่งมีผลงามมาก ยิ่งค้อมลงมาก ผลนั้นย่อมต้องคล้อยต่ำกว่ากิ่ง ลงเรี่ยติดดิน เปรียบเหมือนมนุษย์เราที่อวดชูเด่น ก็คือกิ่งไม้ที่ตรงชี้ฟ้า ไม่มีคุณค่าเท่าปราชญ์ผู้มีความรู้ล้ำค่า แต่อ่อนน้อมถ่อมตน สิ่งที่สูงสุดคือการกลับคืนลงสู่สามัญ กิ่งไม้ที่ตรงชี้อวดชูตนเองนั้น แม้เราจะแขวนลูกไม้ไว้ให้สักเท่าใด ก็ไม่สามารถรับได้เพราะไม่รู้จักน้อมลงรับคุณค่า ของลูกไม้ มีแต่จะหักโค่นลงเพียงต้องลมพายุฤดูเดียว
.....เรา ต้องเข้าใจก่อนว่า โหราศาสตร์นั้น เหมือนต้นไม้ที่มีหลายกิ่งก้านแหละกิ่งแขนงมากมาย ถ้าหยิบหนังสือขึ้นมาสักเล่มจะไม่รู้เลยว่าเรากำลังอยู่ที่แขนงไหน กิ่งไหน ดังนั้นบางคนที่อ่านหนังสือหลายเล่มก็จะเอามารวมกันไปโดยไม่รู้ตัว เวลาเป็นอาจารย์ใครก็สอนลูกศิษย์ไปทั้งอย่างงั้นแหละ
โหราศาสตร์ไทยเดิมแท้นั้น มีหลักแม่บทอยู่ที่เรื่อง “ธาตุ”
ต่อมามีคนเอาหลักโหรอื่น เช่นสากลบ้าง ฝรั่งบ้างอินเดียบ้าง จีนบ้าง มาผูกรวมกัน แล้วเรียกว่า โหราศาสตร์ไทยประยุกต์ มีตั้งแต่ประยุกต์น้อยๆ ไปจนถึงประ ยุกต์กันใหญ่ ดูไม่รู้ว่าเป็นไทยเผ่าไหน เมืองไหน
ได้ยินอาจารย์บางคน สอนลูกศิษย์ว่าได้มาจากเมืองบาบิโลนนั่นทีเดียว ทำให้พวกเราหาแก่นของเรื่องไม่เจอ การเรียนโหราศาสตร์ไทยจึงต้องพยายามเกาะไปตามกิ่งใหญ่ของโหราศาสตร์ระบบธาตุ ไม่ออกทางกิ่งแขนงจนเกินเลยไป เดี๋ยวจะพากันไปตกต้นไม้ ทั้งคนสอน คนเรียน ขาหักทั้งคู่
......ขั้นแรกเรื่องการผูกดวงชะตา
ให้ใช้ปฏิทินสุริยาตรชนิดมีองศาหรือไม่มีก็ได้
การวางลัคนา ให้ใช้เวลาท้องถิ่นที่เกิด โดยเอาเวลาเกิดตัดเวลานาฬิกาให้ถูกต้อง
เมื่อตัดเวลาแล้ว ให้ใช้อันโตนาทีสามัญคำนวนหาตำแหน่งองศาลัคนา
หรือหากใช้แผ่นหมุนก็หมุน เอาตำแหน่ง 6:00 น। ตั้งต้นหาลัคนา แล้วไปขั้นที่สอง
.......ขั้นที่สอง ให้ตรวจสอบลัคนา ที่โหรเรียกว่า “สอบลัคนา”
ซึ่งต้องตรวจสอบจากเรื่องส่วนตัวและเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อให้เชื่อได้ว่าลัคนาอยู่ที่ไหน
ลัคนาเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ ถึงไม่รู้ก็ต้องหา ไม่งั้นจะขาดความรู้จำนวนมาก
ใครไม่รู้วิธีวางลัคนา ก็ไปให้คนอื่นทำให้ก่อน
......มาถึงตรงนี้ต้องออกกิ่งแขนง เพราะจะเกิดปํญหาสงสัยมากมายในหมู่ผู้เรียน
ถ้าไม่พูดถึง ก็จะทำให้ลังเลจนเรียนต่อไม่รู้เรื่อง ปัญหาหลักจะมีอยู่ 2 ข้อใหญ่
(1।) .....เรื่องจักรราศี ปฏิทินสุริยาตรใช้จักรราศีแบบคงที่ หรือที่เรียกนิรายนะ
จริงๆแล้วเรียกผิด แต่โหรไทยขี้เกียจแก้ เพราะเรื่องใหญ่ๆยังมีอีกตั้งภูเขาเลากา
บางปฏิทินที่ใช้แบบสายนะมาตัดอายนางศะ ให้ปิดเก็บไว้ ปฏิทิน และตำราที่ใช้สายนะก็เก็บ เพราะใช้เรื่องธาตุจะเกิดช่องให้มีปัญหา
(2).....เรื่องตัดเวลา การผูกวางลัคนาตามที่บอกไว้ข้างบน คนหัวหมอจะเห็นว่าไม่ถูก เหตุที่ทำง่ายๆเช่นนั้นเพราะความสำคัญอยู่ที่ต้องสอบลัคนา ไม่ว่าจะคำนวณโดยเทคนิคอะไร แผ่นหมุนที่ใช้อันโตนาทีสารัมภ์ก็เก็บไว้ก่อน
นอกจากนั้นบางคนที่ชอบเข้าไปในเว็บที่มีการผูกดวงอัตโนมัติ ว่าผมผูกดวงเอง แล้วเอามาถาม ว่าช่วยดูหน่อยว่าผมผูกดวงผิดตรงไหน ก็ขอให้เลิกใช้ เพราะคุณไม่รู้ว่าเขาโปรแกรมคำนวนไว้อย่างไร ตัดเวลาอย่างใด
००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००
......หนังสือที่ใช้ จะใช้ของใครก็ตามใจ ดูที่มีเนื้อหาครบๆ ซื้อมาสักสองสามเล่มมาเทียบกันดู
แล้วก็ต้องปล่อยวางลงก่อน หันกลับมาตั้งใจใหม่ ไม่ว่าจะเรียนมาแล้วกี่ปีก็ตาม ลองทำตามนี้ จะไม่ผิดพลาด
***ขั้นแรก ลัคนาเป็น สิ่งสำคัญในการกำหนดเรือน
เรือนที่หนึ่ง ที่ลัคนาอยู่คือ ตนุ ถัดไปคือ กดุมภะ สหัชชะ พันธุ ปุตตะ อริ ปัตนิ มรณะ ศุภะ กัมมะ ลาภะ วินาสน์ รวม 12 เรือน
เมื่อเราใช้จักรราศีคงที่ ซึ่งเป็นหลักเดียวกับการวางระบบธาตุแล้ว จะเห็นว่า “ เรือนจะซ้อนทับกับราศี” พอดี ดังนั้น เวลานี้เรากำลังดูเห็นดวง 2 ชั้น คือ ดวงจักรราศี และ ดวงของเรือน เป็นดวงชะตาในตัวของเรา ดวงของเรือน ที่เกิดจากลัคนานี้ เรียกว่า ....”ดวงเรือนชะตา”
......ดวงเรือนชะตา มีแต่ตัวเรือนที่เป็นธาตุ ทั้ง 12 เรือนมี 12 เกษตรธาตุ
ตัวเลขดาวที่เราลงไว้จากปฏิทินมีอยู่ 10 ดวง คือ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ เรือนแบบไทย ที่เรียกเกษตร 2 เรือน
เราพอทราบว่า ตัวเลขแทนดาวใดเป็นเจ้าเรือนใด เช่น ลัคนา ราศีธนู ๕ เป็นเจ้าเรือนตนุ และพันธุ คงไม่ต้องสอนอีก แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่า เมื่อกำหนดว่า ตัวเลขใดเป็นเจ้าเรือนอะไรแล้ว ห้ามอ่านชื่อดาวเป็นอันขาด เพราะในเรือนชะตานี้ ตัวเลขทำหน้าที่ของเจ้าเรือน เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นดาวอะไร เช่น เราอ่านว่า “เจ้าเรือนพันธุ” ห้ามหลุดปากคำว่า “พฤหัส” ออกมา เพราะพฤหัสไม่เกี่ยว เช่น
เราอ่านเจ้าเรือนดังนี้ เจ้าเรือนตนุไปอยู่เรือนกัมมะ หรือสั้นๆว่า ตนุ - กัมมะ
ตนเองจะไปเกี่ยวข้องกับอาชีพการงาน แล้วตามเจ้าเรือนกัมมะที่ ตนุนั้นอยู่ไปอีก
เช่น กัมมะไปอยู่วินาสน์ อาชีพการงานที่ลับๆ คาดหมายยาก อ่านเช่นนี้โดยไม่อ่านดาว และต้องไปฝึกอ่านเอง ความหมายเรือนทั้งหลายในหนังสือก็พอใช้ได้ ใช้ไปก่อน เลือกเอาความหมายง่ายๆ พื้นฐานมาก่อน
อย่าไปเลือกที่หวือหวาแต่ผิดง่าย เช่น ลาภะ - น้องเมีย กัมมะ – พ่อตา อะไรแบบนั้น
เพราะเรายังไม่เข้าใจเรื่องนี้จริง ขอให้อ่านทุกเรือนเช่นนั้นไปให้หมด โดยไม่เอ่ยชื่อดาวเลย ดูดวงตัวเองก็ได้ จนจำฝังใจ
........เมื่อสามารถยึดหลักเรือนชะตาได้แล้ว ให้ปล่อยวางลง
ไปฝึกดูดวงจักรราศี ที่มีแต่ดวงดาว ถึงตอนนี้ ตัวเลขเหล่านั้นคือดาว หรือธาตุดาวเท่านั้น เจ้าเรือนไม่เกี่ยว
ให้อ่านแต่ดาว โดยคุณสมบัติดาว โดยไม่อ่านเจ้าเรือนเลย แต่ยังคงอ่านเรือนอยู่
เช่น อังคารอยู่ในเรือนกดุมภะ เจ้าชะตาขยันหาสมบัติ และในเมื่อไม่มีเจ้าเรือน ก็ไม่ต้องอ่านตามอะไรไปอีก
อ่านให้หมดทั้งดวง ทุกดวง เช่นนี้ เป็นอันจบวิชาโหราศาสตร์แล้ว
การอ่านเช่นนี้ยึดเป็นบันไดขั้นแรกไปจนตลอดชีวิตการเป็นโหร เหมือนตุ๊กตาล้มลุก แม้จะถูกผลักให้เอียงไปสักเท่าใด กี่ครั้งๆ ก็ยังกลับมาที่หลักเหมือนเดิม
००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००
***โหราศาสตร์ไทยมีแก่นเนื้อหาเพียงเท่านี้เท่านั้น
เคล็ดลับที่พวกเราแสวงหามีอยู่ข้างบนนี้แหละ ไม่ต้องตีความอะไรเลย ขอให้เชื่อเถอะ การที่พวกเราไม่เห็นเคล็ดลับ ก็เพราะเอาอะไรมาเทกลบมาทับมันจนมองไม่เห็น แล้วก็วิ่งไปเสาะแสวงหาตามที่ต่างๆ พอเขาไม่ให้ ก็คิดว่าหวงวิชา ดังนั้นภาระที่เรามีก็คือต้องเอาสิ่งกลบทับมันเอาเสียก่อน สิ่งแรกคือความลังเลสงสัยในใจเรานั่นแหละ
.....แล้ววิชาต่างๆที่มีอยู่มากมายมันคืออะไรเล่า
วิชาเหล่านั้น มันคือคำอธิบาย ว่าเราทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ตามที่อ่านเรือนอ่านดาว ทำไปทำไม มาจากไหน มันเหมือนกับเว็บไซท์ที่ผมเคยว่าไว้ ว่ามันเป็นที่มาจากเบสิกอิเลคทรอนิกส์ เรื่อยมาจน กลายมาเป็นเว็บที่เราดูอยู่เท่านั้น ถ้าเราไม่สนใจว่ามันมาได้อย่างไร โหราศาสตร์ก็จบลงเพียงเท่านี้
***ถึงตรงนี้ต้องกระโดดออกนอกทางไปอีกรอบ
หลายคนชอบติดเรียกคำว่า “ภพ” แทน “เรือน” ปนกันไป ผมไม่อยากขัดใจกับใคร เอาเป็นว่าให้ลืมคำว่า “ภพ” ไปก่อนหลังจากอ่านย่อหน้านี้จบ ก็เลิกพูดเลย แต่ต้องเคลียร์เรื่องภพไว้ก่อน
ดวงชะตาระบบเกษตรธาตุนี้ ใช้ “ราศีจักร” หมายความว่าใช้ราศีเพื่อกำหนดเรือน
แต่โหราศาสตร์ไทยประยุกต์จากจักรราศีสายนะ จะใช้เรือนชะตาที่เรียกว่า “ภวจักร” ใช้ “ภวะ หรือ ภพ” กำหนดเรือน ทำให้พวกเรากว่าครึ่งไปไหนไม่ถูก เพราะไม่รู้ตัว ว่าตัวเองยืนอยู่ตรงไหนในเส้นทางโหราศาสตร์ ขอให้เข้าใจว่า “ภวจักร” นั้นดี แต่ต้องรู้จักใช้จึงจะเดินได้ถูก แต่บางคนก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถือตำราภวจักรอยู่ เพราะเขาไม่ได้บอก จึงต้องให้เห็นพอสังเขป มิฉะนั้นก็จะมีคนถามจนได้ เรือนภวจักร กำหนดได้หลายแบบ แต่ที่นิยมใช้เป็นหลักมีอยู่ 3 แบบ คือ
(1)......กำหนดองศาลัคนาที่คำนวนได้ เป็นจุดกลางเรือนที่หนึ่ง ที่เรียกว่า “มัธยภพ” เส้นขอบเรือนก็จะบวกไป 15 องศาทั้งสองข้าง ดังนั้น เรือนถัดไป ก็จะบวกอีก 30 องศาเรื่อยไป จนครบ 12 เรือน
(2).......กำหนดองศาลัคนาที่คำนวณได้เป็นจุดเริ่มเรือนที่หนึ่ง เรือนที่สองก็บวก 30 องศาไปเรื่อยๆ
(3).......กำหนดปัจจัยอันใดอันหนึ่งเป็นจุดกลางเรือน แล้วแต่ว่าจะพิจารณาเรือนใด
.......ผู้ที่นำตำราบรรยายด้วยภวจักรมาใช้ ไม่อาจนำมาใช้กับระบบธาตุราศีจักรได้ครบ เพราะภวจักรใช้ดูดาวและปัจจัย แต่ดวงเรือนชะตาดูจากเกษตรธาตุ
การเหลื่อมราศีทำให้อ่านเจ้าเรือนสับสน แม้ภวจักรจะอ่านระบบเจ้าเรือนได้ในระดับประยุกต์ ก็ควรที่ผู้เรียนจะเข้าใจดวงชนิดนี้ให้ดีเสียก่อน มิฉะนั้นจะตกต้นไม้
००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००
***เมื่อถึงตรงนี้ ขอให้ผู้คิดจะเรียนโหราศาสตร์ไทย ตั้งกฏของตัวเองไว้ดังต่อไปนี้
หนึ่ง.....ข้าจะอ่าน เรือนเกษตรและเจ้าเรือนเกษตร อ่านคุณสมบัติดาวและเรือนเกษตร เป็นหลัก สองอย่างนี้ให้มั่นคง
สอง......ไม่ยึดเรือนอื่นใดอีกนอกจากราศีจักร
สาม.... .มหาทักษา อ่านได้ ใช้ได้แต่ทักษาดวงเดิม ถ้าใช้แล้วความหมายข้างบนผลิกผันไป ให้ยกออกพับเก็บก่อน ทักษาจรให้ใส่เซฟไว้
สี่..........อ่าน เกษตร - มีเรื่อยๆ ประ - ไม่ค่อยมี อุจ - เด่นขึ้นมา นิจ - ด้อยลงไป เพียงสี่ตำแหน่งนี้เท่านั้น
ตำแหน่งมาตรฐานอื่นไม่ต้องอ่านให้พักเก็บเอาไว้
ห้า......จะยังไม่อ่านเรื่องธาตุใดๆ นอกจากข้อหนึ่ง ไม่อ่านองศา ไม่อ่านเกณท์อะไรทั้งหมด ไม่อ่านนวางค์ ตรียางค์ ไม่อ่านนักษัตร ไม่อ่านกาลโยค ให้พักเก็บเอาไว้ ในตู้เซฟ
หก......โหราศาสตร์อื่นใดนอกเหนือจากนี้ อยากอ่านก็อ่านได้ แต่ต้องปล่อยวางลง เขียนปิดไว้ว่า ตราบใดยังไม่เข้าใจโหราศาสตร์ไทยจริงๆ จะไม่ไปเปิดอ่าน
***เมื่อเรียนถึงตรงนี้ให้มั่นคงแล้ว ให้เตรียมตัวคอยเหตุการณ์ สองประการ
หนึ่ง.....คอยอาจารย์ ถ้าดวงคุณมีวาสนาอยู่ จะพบท่านเอง ไม่ต้องแสวงหาไปไกล
สอง....คอยอาจารย์ในตัวคุณเอง ไปส่องกระจกเงาดู มองให้ตรงๆ ผู้นั้นแหละคืออาจารย์
ถ้าคุณบ่มเพาะสติปัญญา รู้จักคิดหาเหตุผลโดยไม่ต้องรอโชควาสนา อาจารย์ผู้นี้จะมาเอง แล้วสิ่งต่างๆที่บอกให้คุณเก็บเอาไว้นั้น ให้งัดขึ้นมาอ่านได้ทั้งหมด
“ธาตุ” คำเดียว อาจมีความหมายได้ถึง 8 อย่าง
.......
เรื่องธาตุในโหราศาสตร์ไทยนั้น ถ้าจะบรรยายในที่นี้คงทำได้ยาก
เพราะเรื่องธาตุมีความยาวมาก เนื่องจากเป็นรากฐานสำคัญอย่าง หนึ่งของวิชาโหราศาสตร์ มานับพันปี แต่ในตำราที่เรานำมาใช้กันอยู่มีไม่ถึง 5 % บางตำราที่นำเอามากล่าวถึงอย่างจริงจังหน่อย ก็มีแค่ไม่เกิน 10% และยังซ่อนเอาไว้ เป็นท่อนๆ ต่อได้ยาก บางทีก็แกล้งทำให้เพี้ยนไปเพราะเป็นเคล็ดลับของวิชา ตำราเกี่ยวกับธาตุแท้ๆนั้นคงจะหายสาบสูญไปนานแล้ว เหลืออยู่เท่าที่ปรากฏในวิชาต่างๆ หากเอามารวมกันคงไม่เกิน 50% และมีความแตกต่างกัน เพราะถูกพัฒนามาคนละทาง สิ่งที่ผมจะอธิบายในที่นี้เป็นเค้าโครงที่มีประโยชน์มากที่สุดต่อความเข้าใจเรื่องธาตุ เพื่อนำมาใช้กับโหราศาสตร์ที่เราเรียนกันอยู่ แม้จะอธิบายได้ยาก เข้าใจยาก และอาจจะผิดแผกไปจากที่บางท่านรู้มาจากครูอาจารย์ บ้าง ก็เพราะเหตุผลข้างต้น
....พวกเรานักเรียนโหรส่วนใหญ่คงไม่เคยรู้ว่า คำว่า “ธาตุ” ในโหราศาสตร์ไทยที่เราเรียนกันนั้น
แท้ที่จริงไม่ใช่คำเดียวกันทั้งหมด เมื่อโบราณเอ่ยถึง “ธาตุ” คำเดียว อาจมีความหมายได้ถึง 8 อย่าง คือ
....หนึ่ง....พลังงานธาตุ
เริ่มต้นจากดวงอาทิตย์ ส่งเป็นแสงและความร้อน 80 %ให้แก่ดาวในจักรราศี (อีก 20% ส่งตรงให้โลก) ดาว กระจายพลังงานธาตุต่อไปอีก ถือเป็น ธาตุหยาบ คำว่าหยาบนี้ไม่ได้หมายถึง อณูหยาบ แต่หมายถึง เป็นธาตุที่ขาดการกลั่นกรองจากดวงดาว ดวงดาวจะใช้พลังงานธาตุก่อให้เกิดธาตุ อีก 2 อย่าง คือ เกษตรธาตุ และ ธาตุดาว
....สอง....เกษตรธาตุ
เป็นธาตุละเอียด เกิดจากพลังงานของธาตุหยาบ ถูกกลั่นกรองด้วยดาวในจักรราศี และถูกธรรมชาติเรียงเข้าสู่สมดุลย์ เป็นเกษตรในราศีต่างๆ
.....สาม....ธาตุดาว
ถือเป็นเกษตรธาตุชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากการกลั่นกรองพลังงานธาตุของดาว
เป็นธาตุละเอียดที่จับตัวหนาแน่นกว่าเกษตรธาตุในราศี แต่ละธาตุดาว จะเหมือนเกษตรธาตุ ทำให้เราเรียกโดยรวบรัดว่า เป็น “เจ้าเรือน” แท้ที่จริงเป็นการสัมพันธ์ระหว่างธาตุที่เหมือนกันโดยกลไกเฉพาะของมัน ถ้าสมมุติเกษตรธาตุ เป็นแก้วใส่น้ำหวาน ธาตุดาวก็เหมือนก้อนน้ำตาลที่กลั่นตัวเป็นก้อนนุ่ม หรือ แข็ง และขอให้เข้าใจง่ายๆไว้ก่อนว่า เจ้าเรือน ไม่ได้สัมพันธ์ถึงเรือนเกษตรในทันที แต่ต้องใช้เวลาและเงื่อนไขในการเข้าถึงเรือน ธาตุดาวเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะส่งผ่านเข้าดวงชะตาทางลัคนา
......สี่....สภาวะธาตุ
ไม่ใช่ตัวธาตุ แต่เป็นสภาพคุณสมบัติของธาตุ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ ถ้าใช้สภาวะธาตุนี้ กับธาตุหยาบก็จะได้ชื่อว่า สภาวะธาตุหยาบ ได้แก่จักรราศี ในท้องฟ้า กับธาตุละเอียด ก็ได้ชื่อว่าสภาวะธาตุละเอียด บนโลก
......ห้า....วัตถุธาตุ
หมายถึง สสารวัตถุต่างๆโดยตรง เช่น ก้อนหิน น้ำ เหล็ก เมฆ อากาศ ฯลฯ
......หก....ธาตุดาวในดวงชะตา
เป็นธาตุดาวละเอียด พร้อม เกษตรธาตุ ที่ ส่งผ่านมาเข้าดวงชะตามาทางลัคนา มีอาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ เหมือนดาวในจักรวาล แต่ธาตุดาวในดวงชะตา ไม่ได้มาจากธาตุดาวในจักรวาลทั้งหมด ส่วนที่เหลือมาจากพลังงานธาตุของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โดยตรง
......เจ็ด....ชีวะธาตุ
คือ ชีวิต ที่นำเข้าสู่ดวงชะตาทางลัคนา อย่างที่เล่าไว้ในกระทู้ข้อที่ หก เป็นเรื่องยาวอีกมาก
......แปด...วิญญาณธาตุ
เป็นเรื่องยาวอีกเรื่องหนึ่ง อธิบายตรงนี้ยาก
......ที่จริง ทุกหัวข้อ ก็เป็นเรื่องยาวทั้งนั้น ต้องปะติดปะต่อ เอาจากคัมภีร์วิชาต่างๆ
ส่วนใหญ่ในตำราโหราศาสตร์ทั่วไป จะใช้คำว่า “ธาตุ” เหมือนกันไปหมด
เกิดจากความจงใจที่จะดึงคำที่ประกอบคำว่าธาตุออกไป ผู้ที่ลอกตามมาข้างหลังมักไม่ทราบเรื่องนี้
แต่ถ้าเราสังเกตุบ้าง จะพบว่าความหมายไม่เหมือนกัน และวิธีใช้ก็แตกต่างกันด้วย
ถ้าเราทราบว่า คำว่าธาตุ คำใดหมายถึงอะไร ก็จะทราบคุณสมบัติของมัน และใช้ได้ถูกต้อง
และ เราจะทราบด้วยว่า มีตำราใด แกล้งเขียนดัดแปลงให้เพี้ยนไป
เพราะอยากเก็บความลับไว้เฉพาะตน
เรื่องธาตุในโหราศาสตร์ไทยนั้น ถ้าจะบรรยายในที่นี้คงทำได้ยาก
เพราะเรื่องธาตุมีความยาวมาก เนื่องจากเป็นรากฐานสำคัญอย่าง หนึ่งของวิชาโหราศาสตร์ มานับพันปี แต่ในตำราที่เรานำมาใช้กันอยู่มีไม่ถึง 5 % บางตำราที่นำเอามากล่าวถึงอย่างจริงจังหน่อย ก็มีแค่ไม่เกิน 10% และยังซ่อนเอาไว้ เป็นท่อนๆ ต่อได้ยาก บางทีก็แกล้งทำให้เพี้ยนไปเพราะเป็นเคล็ดลับของวิชา ตำราเกี่ยวกับธาตุแท้ๆนั้นคงจะหายสาบสูญไปนานแล้ว เหลืออยู่เท่าที่ปรากฏในวิชาต่างๆ หากเอามารวมกันคงไม่เกิน 50% และมีความแตกต่างกัน เพราะถูกพัฒนามาคนละทาง สิ่งที่ผมจะอธิบายในที่นี้เป็นเค้าโครงที่มีประโยชน์มากที่สุดต่อความเข้าใจเรื่องธาตุ เพื่อนำมาใช้กับโหราศาสตร์ที่เราเรียนกันอยู่ แม้จะอธิบายได้ยาก เข้าใจยาก และอาจจะผิดแผกไปจากที่บางท่านรู้มาจากครูอาจารย์ บ้าง ก็เพราะเหตุผลข้างต้น
....พวกเรานักเรียนโหรส่วนใหญ่คงไม่เคยรู้ว่า คำว่า “ธาตุ” ในโหราศาสตร์ไทยที่เราเรียนกันนั้น
แท้ที่จริงไม่ใช่คำเดียวกันทั้งหมด เมื่อโบราณเอ่ยถึง “ธาตุ” คำเดียว อาจมีความหมายได้ถึง 8 อย่าง คือ
....หนึ่ง....พลังงานธาตุ
เริ่มต้นจากดวงอาทิตย์ ส่งเป็นแสงและความร้อน 80 %ให้แก่ดาวในจักรราศี (อีก 20% ส่งตรงให้โลก) ดาว กระจายพลังงานธาตุต่อไปอีก ถือเป็น ธาตุหยาบ คำว่าหยาบนี้ไม่ได้หมายถึง อณูหยาบ แต่หมายถึง เป็นธาตุที่ขาดการกลั่นกรองจากดวงดาว ดวงดาวจะใช้พลังงานธาตุก่อให้เกิดธาตุ อีก 2 อย่าง คือ เกษตรธาตุ และ ธาตุดาว
....สอง....เกษตรธาตุ
เป็นธาตุละเอียด เกิดจากพลังงานของธาตุหยาบ ถูกกลั่นกรองด้วยดาวในจักรราศี และถูกธรรมชาติเรียงเข้าสู่สมดุลย์ เป็นเกษตรในราศีต่างๆ
.....สาม....ธาตุดาว
ถือเป็นเกษตรธาตุชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากการกลั่นกรองพลังงานธาตุของดาว
เป็นธาตุละเอียดที่จับตัวหนาแน่นกว่าเกษตรธาตุในราศี แต่ละธาตุดาว จะเหมือนเกษตรธาตุ ทำให้เราเรียกโดยรวบรัดว่า เป็น “เจ้าเรือน” แท้ที่จริงเป็นการสัมพันธ์ระหว่างธาตุที่เหมือนกันโดยกลไกเฉพาะของมัน ถ้าสมมุติเกษตรธาตุ เป็นแก้วใส่น้ำหวาน ธาตุดาวก็เหมือนก้อนน้ำตาลที่กลั่นตัวเป็นก้อนนุ่ม หรือ แข็ง และขอให้เข้าใจง่ายๆไว้ก่อนว่า เจ้าเรือน ไม่ได้สัมพันธ์ถึงเรือนเกษตรในทันที แต่ต้องใช้เวลาและเงื่อนไขในการเข้าถึงเรือน ธาตุดาวเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะส่งผ่านเข้าดวงชะตาทางลัคนา
......สี่....สภาวะธาตุ
ไม่ใช่ตัวธาตุ แต่เป็นสภาพคุณสมบัติของธาตุ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ ถ้าใช้สภาวะธาตุนี้ กับธาตุหยาบก็จะได้ชื่อว่า สภาวะธาตุหยาบ ได้แก่จักรราศี ในท้องฟ้า กับธาตุละเอียด ก็ได้ชื่อว่าสภาวะธาตุละเอียด บนโลก
......ห้า....วัตถุธาตุ
หมายถึง สสารวัตถุต่างๆโดยตรง เช่น ก้อนหิน น้ำ เหล็ก เมฆ อากาศ ฯลฯ
......หก....ธาตุดาวในดวงชะตา
เป็นธาตุดาวละเอียด พร้อม เกษตรธาตุ ที่ ส่งผ่านมาเข้าดวงชะตามาทางลัคนา มีอาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ เหมือนดาวในจักรวาล แต่ธาตุดาวในดวงชะตา ไม่ได้มาจากธาตุดาวในจักรวาลทั้งหมด ส่วนที่เหลือมาจากพลังงานธาตุของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โดยตรง
......เจ็ด....ชีวะธาตุ
คือ ชีวิต ที่นำเข้าสู่ดวงชะตาทางลัคนา อย่างที่เล่าไว้ในกระทู้ข้อที่ หก เป็นเรื่องยาวอีกมาก
......แปด...วิญญาณธาตุ
เป็นเรื่องยาวอีกเรื่องหนึ่ง อธิบายตรงนี้ยาก
......ที่จริง ทุกหัวข้อ ก็เป็นเรื่องยาวทั้งนั้น ต้องปะติดปะต่อ เอาจากคัมภีร์วิชาต่างๆ
ส่วนใหญ่ในตำราโหราศาสตร์ทั่วไป จะใช้คำว่า “ธาตุ” เหมือนกันไปหมด
เกิดจากความจงใจที่จะดึงคำที่ประกอบคำว่าธาตุออกไป ผู้ที่ลอกตามมาข้างหลังมักไม่ทราบเรื่องนี้
แต่ถ้าเราสังเกตุบ้าง จะพบว่าความหมายไม่เหมือนกัน และวิธีใช้ก็แตกต่างกันด้วย
ถ้าเราทราบว่า คำว่าธาตุ คำใดหมายถึงอะไร ก็จะทราบคุณสมบัติของมัน และใช้ได้ถูกต้อง
และ เราจะทราบด้วยว่า มีตำราใด แกล้งเขียนดัดแปลงให้เพี้ยนไป
เพราะอยากเก็บความลับไว้เฉพาะตน
นิทานอเล็กซานเดรีย กับโหราศาสตร์
.......
กระทู้ข้อที่สิบ – นิทานอเล็กซานเดรีย....ยักษ์ฮิวโก้เล่าว่า กาลครั้งหนึ่ง ยังมีชายคนหนึ่งชื่อ คาร์ปูซีส เป็นชาวเคอร์ธีท เกิดวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ เวลาเช้า ก่อน คริสตศักราช 762 ปี ลัคนาอยู่ราศีพิจิก เมื่อเติบใหญ่ ได้เข้าเป็นทหารในกองทัพ มีฝีมือยอดเยี่ยมทั้งฟันดาบและยิงธนู จนได้เลื่อนขึ้นเป็นนายทหารควบคุมทหารม้า ในกองทัพหน้า ในเวลาปกติ คาร์ปูซีส จะออกตามเสด็จพระราชาออกล่าสัตว์พร้อมนายทหารอื่นๆเสมอ และ คาร์ปูซีส มักจะเป็นผู้ที่ได้รับรางวัล จากการที่สามารถยิงธนู เข้าเป้า ได้มากครั้งที่สุด แต่ละครั้ง ที่เห็นนก หรือสัตว์ที่ต้องการล่าปรากฏขึ้น นายทหารทุกคนจะยิงธนูออกไปเป็นห่าฝน เพื่อช่วงชิงรางวัล แต่คาร์ปูซีสจะปล่อยธนูออกไปเข้าสู่ นัยน์ตา หรือหัวใจสัตว์เหล่านั้น ด้วยธนูเพียงดอกเดียว หรือสองดอก โดยไม่พลาดเป้า
....
ครั้งหนึ่ง ดาวหางขึ้นบนฟ้า ในราศีพิจิก พวกยูคา คนป่าที่ชอบใช้เวทมนตร์คาถา ยกกองทัพมาจากทิศเหนือ 3 แสนคน กองทัพเคอร์ธีทมีกำลังพลเพียง หนึ่ง แสนคนออกต่อต้าน กองธนูสังหาร ทัพหน้าของพวกยูคารุกเข้าประชิด กองทัพเคอร์ธีทได้ก่อน นักแม่นธนูห้าพันนายของพวกยูคา จึงยิงธนูเวทมนตร์ของพ่อมด เข้าใส่แถวนายทหารของเคอร์ธีทเป็นห่าฝน นายทหารเหล่านั้นทุกคน ต่างก็ใช้โล่ห์และดาบ ปิดป้องธนูไว้ได้หมด แต่มีเพียงธนูสังหารเพียง 2 ดอก ที่สามารถเล็ดลอด พุ่งเข้าปักนัยน์ตา และ หัวใจ ของคาร์ปูซีส ร่วงหล่นลงจากหลังม้าลงมาตาย แต่เพียงผู้เดียว
......
ปัญหาถามว่า ในเมื่อท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโหราศาสตร์ จะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไร
०००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००
.....คำตอบกระทู้ข้อที่สิบ –
คำตอบกระทู้นี้ ถ้าตอบตามความเชื่อเรื่องกรรมทางศาสนาก็ไม่ยากอะไร
เพราะเป็นกรณีที่ทำกรรมอะไรไว้ กรรมนั้นก็กลับมา สนอง ไม่ในชาตินี้ก็ชาติหน้า
แต่ถ้าตอบตามโหราศาสตร์ก็ต้องตอบด้วย “โครงสร้างของปัจจัย” หรือ ทางไทยแปลกันว่า “โครงสร้างของกรรม” แต่ที่จริงเป็นการมองกรรมในแง่โหราศาสตร์ โดยมีทฤษฎีรองรับด้วย
....
เราพึงเข้าใจก่อนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างดาวนั้นมีได้หลายรูปแบบ สมมุติเรามีดาว 4 ดวง อยู่ด้วยกัน หรือเป็นกลุ่มที่สัมพันธ์ถึงกัน เราสามารถแปลความหมายดาวกลุ่มนี้ได้มากมาย นับสิบความหมาย เป็นได้ทั้งในทางดี และ เลว ทั้งในทางให้คุณ และให้โทษ และเมื่อสัมพันธ์กับเรือนและเจ้าเรือนด้วยแล้ว ความหมายยิ่งมากเข้าไปอีก กลายเป็นรูปแบบ หรือ เรียกว่า “โครงสร้างของปัจจัย” ได้จำนวนมาก
พวกเราที่เรียนโหราศาสตร์กันอยู่ อาจจะเคยรู้สึกงง หรือหงุดหงิดที่พบว่า เวลาอ่านดวงชะตาแล้ว อาจารย์บ้าง เพื่อนฝูงบ้าง อ่านเรือนอ่านดาวไม่ตรงกับเรา บางครั้งก็เป็นไปคนละเรื่อง ทำให้คิดว่าเราน่าจะอ่านผิดคนที่ไม่เข้าใจก็ พยายาม หาวิธีอ่านให้เหมือนผู้อื่นบ้าง จนสับสน จับหลักอะไรไม่ได้
......
เหมือนนิทานเกาหลีเรื่อง “คนบ้าเวลา”.......
นิทานเล่าว่า มีชายคนหนึ่ง ซื้อนาฬิกาข้อมือมาจากตลาด ชอบใจมาก เดินไปก็ดูเวลาไป พอผ่านร้านค้าก็เหลือบดูนาฬิกาที่แขวนไว้ ตั้งเวลาตามเขาไป พอมีคนเดินสวนมา ก็ขอดูนาฬิกาข้อมือของเขาอีก เห็นว่าไม่ตรงกัน ก็ตั้งเวลาใหม่อีก ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงบ้าน ดูนาฬิกาข้อมือที่ซื้อ พบว่าเวลาไม่ตรงกับนาฬิกาที่แขวนบนผนังบ้าน จึงถอดมาทุบทิ้งด้วยความเจ็บใจ ที่เสียเงินซื้อนาฬิกา นิทานก็จบลง.....
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้ารักจะเรียนโหราศาสตร์แล้วอย่าเป็นคนบ้าเวลา หลงเครื่องคิดเลข เมาทศนิยม
อย่า “ยึดหลักที่ปักบนเลน”
......อันที่จริงถ้าเราเข้าใจว่า ความสัมพันธ์ระหว่างดาว และ เรือนเป็นไปได้หลายแบบ
แต่แบบใดเล่า คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริง ในดวงชะตา นี่คือปัญหาในการพยากรณ์....
โหราศาสตร์เชื่อว่า แบบโครงสร้างของปัจจัยที่ถูกเน้นด้วยการกระทำโดยเจ้าชะตา เป็นโครงสร้างที่ถูกเลือก เช่น สมมุติ โครงสร้างนั้นสามารถแปลได้สิบความหมาย แต่เจ้าชะตาเลือกที่จะกระทำ “ผู้หนึ่ง ฆ่า ผู้หนึ่ง” โครงสร้างนี้จะกลายเป็นโครงสร้างที่ถูกเลือกให้มีความหมายรุนแรงกว่าความหมายอื่น และจะมีสิ่งที่เรียกว่า “พลังงาน” หน่วงเหตุการณ์อยู่ได้นาน เมื่อเจ้าชะตาทำสิ่งตามโครงสร้างนี้ซ้ำๆอีก โครงสร้างนี้จะมีกำลังแรงขึ้น และสามารถหันเหชีวิตให้ไปในทางเลือกของดวงชะตาได้
โหราศาสตร์แทบทุกระบบ จะมองหาโครงสร้างเช่นนี้ก่อน โดยเพ่งเล็งดูจากโครงสร้างที่สัมพันธ์กับปัจจัยที่เป็นตัวแทนของเจ้าชะตา เช่น ลัคนา หรือ ตนุลัคน์ ก็เพราะการกระทำนั้นต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าชะตาเป็นอันดับแรก จึงจะเกิดกำลังแรงขึ้นมาได้ ผู้ที่เชี่ยวชาญจะตัดสินใจได้ว่า โครงสร้างใด น่าจะเป็นโครงสร้างที่ถูกเลือก เพราะแรงผลักดันทางจิตวิทยา
.....
ราวกับการเล่นตามบทภาพยนตร์ เมื่อมีบท “ผู้หนึ่ง ฆ่า ผู้หนึ่ง” หากเจ้าชะตารับบทเป็นผู้กระทำ เจ้าชะตาก็ฆ่าเขา แต่เมื่อวันใดเจ้าชะตามารับบทเป็น ผู้ถูกกระทำ เจ้าชะตาก็ถูกฆ่า เมื่อดาวจรส่งผลให้โครงสร้างดาวนั้นทำงาน
โดยที่บทดังกล่าวนี้ เจ้าชะตาเป็นผู้เลือกเอง
००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००
กระทู้ข้อที่สิบ – นิทานอเล็กซานเดรีย....ยักษ์ฮิวโก้เล่าว่า กาลครั้งหนึ่ง ยังมีชายคนหนึ่งชื่อ คาร์ปูซีส เป็นชาวเคอร์ธีท เกิดวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ เวลาเช้า ก่อน คริสตศักราช 762 ปี ลัคนาอยู่ราศีพิจิก เมื่อเติบใหญ่ ได้เข้าเป็นทหารในกองทัพ มีฝีมือยอดเยี่ยมทั้งฟันดาบและยิงธนู จนได้เลื่อนขึ้นเป็นนายทหารควบคุมทหารม้า ในกองทัพหน้า ในเวลาปกติ คาร์ปูซีส จะออกตามเสด็จพระราชาออกล่าสัตว์พร้อมนายทหารอื่นๆเสมอ และ คาร์ปูซีส มักจะเป็นผู้ที่ได้รับรางวัล จากการที่สามารถยิงธนู เข้าเป้า ได้มากครั้งที่สุด แต่ละครั้ง ที่เห็นนก หรือสัตว์ที่ต้องการล่าปรากฏขึ้น นายทหารทุกคนจะยิงธนูออกไปเป็นห่าฝน เพื่อช่วงชิงรางวัล แต่คาร์ปูซีสจะปล่อยธนูออกไปเข้าสู่ นัยน์ตา หรือหัวใจสัตว์เหล่านั้น ด้วยธนูเพียงดอกเดียว หรือสองดอก โดยไม่พลาดเป้า
....
ครั้งหนึ่ง ดาวหางขึ้นบนฟ้า ในราศีพิจิก พวกยูคา คนป่าที่ชอบใช้เวทมนตร์คาถา ยกกองทัพมาจากทิศเหนือ 3 แสนคน กองทัพเคอร์ธีทมีกำลังพลเพียง หนึ่ง แสนคนออกต่อต้าน กองธนูสังหาร ทัพหน้าของพวกยูคารุกเข้าประชิด กองทัพเคอร์ธีทได้ก่อน นักแม่นธนูห้าพันนายของพวกยูคา จึงยิงธนูเวทมนตร์ของพ่อมด เข้าใส่แถวนายทหารของเคอร์ธีทเป็นห่าฝน นายทหารเหล่านั้นทุกคน ต่างก็ใช้โล่ห์และดาบ ปิดป้องธนูไว้ได้หมด แต่มีเพียงธนูสังหารเพียง 2 ดอก ที่สามารถเล็ดลอด พุ่งเข้าปักนัยน์ตา และ หัวใจ ของคาร์ปูซีส ร่วงหล่นลงจากหลังม้าลงมาตาย แต่เพียงผู้เดียว
......
ปัญหาถามว่า ในเมื่อท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโหราศาสตร์ จะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไร
०००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००
.....คำตอบกระทู้ข้อที่สิบ –
คำตอบกระทู้นี้ ถ้าตอบตามความเชื่อเรื่องกรรมทางศาสนาก็ไม่ยากอะไร
เพราะเป็นกรณีที่ทำกรรมอะไรไว้ กรรมนั้นก็กลับมา สนอง ไม่ในชาตินี้ก็ชาติหน้า
แต่ถ้าตอบตามโหราศาสตร์ก็ต้องตอบด้วย “โครงสร้างของปัจจัย” หรือ ทางไทยแปลกันว่า “โครงสร้างของกรรม” แต่ที่จริงเป็นการมองกรรมในแง่โหราศาสตร์ โดยมีทฤษฎีรองรับด้วย
....
เราพึงเข้าใจก่อนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างดาวนั้นมีได้หลายรูปแบบ สมมุติเรามีดาว 4 ดวง อยู่ด้วยกัน หรือเป็นกลุ่มที่สัมพันธ์ถึงกัน เราสามารถแปลความหมายดาวกลุ่มนี้ได้มากมาย นับสิบความหมาย เป็นได้ทั้งในทางดี และ เลว ทั้งในทางให้คุณ และให้โทษ และเมื่อสัมพันธ์กับเรือนและเจ้าเรือนด้วยแล้ว ความหมายยิ่งมากเข้าไปอีก กลายเป็นรูปแบบ หรือ เรียกว่า “โครงสร้างของปัจจัย” ได้จำนวนมาก
พวกเราที่เรียนโหราศาสตร์กันอยู่ อาจจะเคยรู้สึกงง หรือหงุดหงิดที่พบว่า เวลาอ่านดวงชะตาแล้ว อาจารย์บ้าง เพื่อนฝูงบ้าง อ่านเรือนอ่านดาวไม่ตรงกับเรา บางครั้งก็เป็นไปคนละเรื่อง ทำให้คิดว่าเราน่าจะอ่านผิดคนที่ไม่เข้าใจก็ พยายาม หาวิธีอ่านให้เหมือนผู้อื่นบ้าง จนสับสน จับหลักอะไรไม่ได้
......
เหมือนนิทานเกาหลีเรื่อง “คนบ้าเวลา”.......
นิทานเล่าว่า มีชายคนหนึ่ง ซื้อนาฬิกาข้อมือมาจากตลาด ชอบใจมาก เดินไปก็ดูเวลาไป พอผ่านร้านค้าก็เหลือบดูนาฬิกาที่แขวนไว้ ตั้งเวลาตามเขาไป พอมีคนเดินสวนมา ก็ขอดูนาฬิกาข้อมือของเขาอีก เห็นว่าไม่ตรงกัน ก็ตั้งเวลาใหม่อีก ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงบ้าน ดูนาฬิกาข้อมือที่ซื้อ พบว่าเวลาไม่ตรงกับนาฬิกาที่แขวนบนผนังบ้าน จึงถอดมาทุบทิ้งด้วยความเจ็บใจ ที่เสียเงินซื้อนาฬิกา นิทานก็จบลง.....
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้ารักจะเรียนโหราศาสตร์แล้วอย่าเป็นคนบ้าเวลา หลงเครื่องคิดเลข เมาทศนิยม
อย่า “ยึดหลักที่ปักบนเลน”
......อันที่จริงถ้าเราเข้าใจว่า ความสัมพันธ์ระหว่างดาว และ เรือนเป็นไปได้หลายแบบ
แต่แบบใดเล่า คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริง ในดวงชะตา นี่คือปัญหาในการพยากรณ์....
โหราศาสตร์เชื่อว่า แบบโครงสร้างของปัจจัยที่ถูกเน้นด้วยการกระทำโดยเจ้าชะตา เป็นโครงสร้างที่ถูกเลือก เช่น สมมุติ โครงสร้างนั้นสามารถแปลได้สิบความหมาย แต่เจ้าชะตาเลือกที่จะกระทำ “ผู้หนึ่ง ฆ่า ผู้หนึ่ง” โครงสร้างนี้จะกลายเป็นโครงสร้างที่ถูกเลือกให้มีความหมายรุนแรงกว่าความหมายอื่น และจะมีสิ่งที่เรียกว่า “พลังงาน” หน่วงเหตุการณ์อยู่ได้นาน เมื่อเจ้าชะตาทำสิ่งตามโครงสร้างนี้ซ้ำๆอีก โครงสร้างนี้จะมีกำลังแรงขึ้น และสามารถหันเหชีวิตให้ไปในทางเลือกของดวงชะตาได้
โหราศาสตร์แทบทุกระบบ จะมองหาโครงสร้างเช่นนี้ก่อน โดยเพ่งเล็งดูจากโครงสร้างที่สัมพันธ์กับปัจจัยที่เป็นตัวแทนของเจ้าชะตา เช่น ลัคนา หรือ ตนุลัคน์ ก็เพราะการกระทำนั้นต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าชะตาเป็นอันดับแรก จึงจะเกิดกำลังแรงขึ้นมาได้ ผู้ที่เชี่ยวชาญจะตัดสินใจได้ว่า โครงสร้างใด น่าจะเป็นโครงสร้างที่ถูกเลือก เพราะแรงผลักดันทางจิตวิทยา
.....
ราวกับการเล่นตามบทภาพยนตร์ เมื่อมีบท “ผู้หนึ่ง ฆ่า ผู้หนึ่ง” หากเจ้าชะตารับบทเป็นผู้กระทำ เจ้าชะตาก็ฆ่าเขา แต่เมื่อวันใดเจ้าชะตามารับบทเป็น ผู้ถูกกระทำ เจ้าชะตาก็ถูกฆ่า เมื่อดาวจรส่งผลให้โครงสร้างดาวนั้นทำงาน
โดยที่บทดังกล่าวนี้ เจ้าชะตาเป็นผู้เลือกเอง
००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००
คำแนะนำข้อใดต่อไปนี้ ข้อใดเป็นไปตามหลักวิธีโหราศาสตร์ (२)
กระทู้ข้อที่เก้า –
สุภาพสตรีผู้หนึ่งไปรับการพยากรณ์ทางโหราศาสตร์ โหรตรวจดวงชะตาแล้วเห็นว่า ในดวงชะตาของเธอนั้น “สีขาว” เป็นสีที่ให้คุณมาก จึงแนะนำให้ใช้สีขาว ขาวอ่อน หรือขาวใสๆก็ได้
ถามว่า คำแนะนำข้อใดต่อไปนี้ ข้อใดเป็นไปตามหลักวิธีโหราศาสตร์ (เลือกกี่ข้อก็ได้ ให้เหตุผลสั้นๆด้วย)
1)..ใส่เสื้อผ้า สีขาวบ่อยๆ 2)..ใส่อัญมณีธรรมชาติสีขาว หรือขาวใส ติดตัวไว้
3)..ประดับโต๊ะทำงานด้วยดอกไม้ สีขาว 4)..เลือกรถยนต์สีขาว
5).....ตกแต่งทาสีผนังห้องนอน เป็นสีขาว 6).....เอาขนมสีขาวใส่บาตรพระตอนเช้า
7)......เลี้ยงสัตว์เลี้ยงสีขาว 8).....ไม่มีข้อใดถูก
०००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००
......
คำตอบกระทู้ข้อที่เก้า - โจทย์ข้อนี้เกี่ยวกับเรื่องสี
ตอบได้ว่า ข้อ 1) ผ้าสีขาว ข้อ 2) อัญมณีสีขาวและข้อ 3) ดอกไม้สีขาว ตรงตามหลักโหราศาสตร์
.....อันที่จริง คำตอบทุกข้อที่ให้เลือก ล้วนมีการใช้สีขาวหมด ถ้าใครจับประเด็นได้จากกระทู้ข้อที่แล้วๆมา จะเห็นว่า โหราศาสตร์มีเกี่ยวข้องกับธรรมชาติตลอดเวลา สิ่งใดที่มีผลทางธรรมชาติ จึงจะมีความหมายทางโหราศาสตร์ นี่เป็นความสำคัญอันดับแรก แต่ก็ไม่ใช่ทุกอย่างที่มีผลเช่นนี้....
ข้อ 4) 5) 6) รถยนต์สีขาว ห้องนอนสีขาว ขนมสีขาว เป็นเพียงการรับรู้สีขาวของเรา แต่สีขาวเหล่านี้เป็นสีที่ประดิษฐ์ทำขึ้น ธรรมชาติไม่ได้รับรู้เรื่องสีด้วย ยกเว้น เพียงอย่างเดียวคือ สีขาวของแป้งทำขนม ที่ไม่มีการปรุงแต่งสี
ด้วยเหตุนี้ ขนมที่ใช้ในพิธีกรรมมักจะใช้สีของแป้งโดยธรรมชาติ
สีที่ประดิษฐ์ขึ้น กับ “สิ่งไม่มีชีวิตที่มนุษย์ทำขึ้น”นี้ ธรรมชาติจะให้ความหมายทางโหราศาสตร์
เมื่อเราไปให้ความหมายรู้ผูกพันมันก่อน อย่างเช่น รถยนต์ คือ อังคาร ห้องนอนคือ พฤหัส ขนมคือจันทร์
แต่ถ้ามันอยู่เฉยๆ ขาดชีวิตที่เป็นเจ้าของ มันจะมีความหมายน้อย และสีของมันจะมีความหมายน้อยมาก ไม่ว่าในกรณีใด
....ข้อ 7) สัตว์เลี้ยงสีขาว ถ้าไม่ได้ย้อมมา ก็เป็นธรรมชาติ
แต่ความเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง ธรรมชาติจะให้ความหมายของ “สัตว์” มีความเด่นกว่า
เช่น การเลี้ยงงูเหลือมสีขาวเผือก งูนั้นหมายถึง “เสาร์” แต่สีธาตุของเสาร์ คือสี “ดำ”
ดังนั้นสีขาวในตัวงู จึงขาดความหมายทางสี แต่จะไปแสดงออกทางอื่น
...ข้อ 2) และ 3) อัญมณีและหินสีที่เกิดโดยธรรมชาติ แม้เป็นสิ่งไม่มีชีวิต
แต่ธรรมชาติสร้างมาเอง จึงตรงตามหลักโหราศาสตร์
....ข้อ 1) นั้น เป็นข้อพิเศษ คือผ้าสีขาว
เป็นเรื่องน่าแปลก ที่ผ้าขาวเกิดจากการฟอกย้อมจำนวนมาก มีทั้งขาวโดยธรรมชาติ และที่ประดิษฐ์ขึ้น
แต่ผ้าใช้ได้ผลทางโหราศาสตร์ เหตุผลก็เพราะ “ผ้า” นั้นคือ “พฤหัส”
พฤหัสนั้น มีสีธาตุเป็นสีเหลืองเข้ม และสีธรรมชาติ( ขาวตุ่นๆ)ด้วย
ดังนั้นเมื่อธรรมชาติให้ความหมายของพฤหัสออกมา ก็จะให้ความหมายสีขาวโดยปริยาย
ไม่ว่าผ้านั้นจะมีสีขาวหรือไม่ การที่โบราณมักใช้ผ้าขาวในพิธีกรรม
เพราะมีความหมายเป็น พฤหัส แทนที่จะใช้สีเหลืองแบบจีวรพระ ซึ่งจะดูขัดตาในพิธีส่วนใหญ่
ผ้าขาวมีความสำคัญคือความเป็นพฤหัส ไม่ใช่ความเป็นสีขาว แต่ถ้าได้ผ้าขาวธรรมชาติ(ไม่ได้ย้อม)
ก็จะได้ทั้งสองทาง ชี นั้นบวชด้วยผ้าขาว เท่ากับบวชด้วยผ้าเหลือง เพราะคือ พฤหัส เหมือนกัน
สุภาพสตรีผู้หนึ่งไปรับการพยากรณ์ทางโหราศาสตร์ โหรตรวจดวงชะตาแล้วเห็นว่า ในดวงชะตาของเธอนั้น “สีขาว” เป็นสีที่ให้คุณมาก จึงแนะนำให้ใช้สีขาว ขาวอ่อน หรือขาวใสๆก็ได้
ถามว่า คำแนะนำข้อใดต่อไปนี้ ข้อใดเป็นไปตามหลักวิธีโหราศาสตร์ (เลือกกี่ข้อก็ได้ ให้เหตุผลสั้นๆด้วย)
1)..ใส่เสื้อผ้า สีขาวบ่อยๆ 2)..ใส่อัญมณีธรรมชาติสีขาว หรือขาวใส ติดตัวไว้
3)..ประดับโต๊ะทำงานด้วยดอกไม้ สีขาว 4)..เลือกรถยนต์สีขาว
5).....ตกแต่งทาสีผนังห้องนอน เป็นสีขาว 6).....เอาขนมสีขาวใส่บาตรพระตอนเช้า
7)......เลี้ยงสัตว์เลี้ยงสีขาว 8).....ไม่มีข้อใดถูก
०००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००
......
คำตอบกระทู้ข้อที่เก้า - โจทย์ข้อนี้เกี่ยวกับเรื่องสี
ตอบได้ว่า ข้อ 1) ผ้าสีขาว ข้อ 2) อัญมณีสีขาวและข้อ 3) ดอกไม้สีขาว ตรงตามหลักโหราศาสตร์
.....อันที่จริง คำตอบทุกข้อที่ให้เลือก ล้วนมีการใช้สีขาวหมด ถ้าใครจับประเด็นได้จากกระทู้ข้อที่แล้วๆมา จะเห็นว่า โหราศาสตร์มีเกี่ยวข้องกับธรรมชาติตลอดเวลา สิ่งใดที่มีผลทางธรรมชาติ จึงจะมีความหมายทางโหราศาสตร์ นี่เป็นความสำคัญอันดับแรก แต่ก็ไม่ใช่ทุกอย่างที่มีผลเช่นนี้....
ข้อ 4) 5) 6) รถยนต์สีขาว ห้องนอนสีขาว ขนมสีขาว เป็นเพียงการรับรู้สีขาวของเรา แต่สีขาวเหล่านี้เป็นสีที่ประดิษฐ์ทำขึ้น ธรรมชาติไม่ได้รับรู้เรื่องสีด้วย ยกเว้น เพียงอย่างเดียวคือ สีขาวของแป้งทำขนม ที่ไม่มีการปรุงแต่งสี
ด้วยเหตุนี้ ขนมที่ใช้ในพิธีกรรมมักจะใช้สีของแป้งโดยธรรมชาติ
สีที่ประดิษฐ์ขึ้น กับ “สิ่งไม่มีชีวิตที่มนุษย์ทำขึ้น”นี้ ธรรมชาติจะให้ความหมายทางโหราศาสตร์
เมื่อเราไปให้ความหมายรู้ผูกพันมันก่อน อย่างเช่น รถยนต์ คือ อังคาร ห้องนอนคือ พฤหัส ขนมคือจันทร์
แต่ถ้ามันอยู่เฉยๆ ขาดชีวิตที่เป็นเจ้าของ มันจะมีความหมายน้อย และสีของมันจะมีความหมายน้อยมาก ไม่ว่าในกรณีใด
....ข้อ 7) สัตว์เลี้ยงสีขาว ถ้าไม่ได้ย้อมมา ก็เป็นธรรมชาติ
แต่ความเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง ธรรมชาติจะให้ความหมายของ “สัตว์” มีความเด่นกว่า
เช่น การเลี้ยงงูเหลือมสีขาวเผือก งูนั้นหมายถึง “เสาร์” แต่สีธาตุของเสาร์ คือสี “ดำ”
ดังนั้นสีขาวในตัวงู จึงขาดความหมายทางสี แต่จะไปแสดงออกทางอื่น
...ข้อ 2) และ 3) อัญมณีและหินสีที่เกิดโดยธรรมชาติ แม้เป็นสิ่งไม่มีชีวิต
แต่ธรรมชาติสร้างมาเอง จึงตรงตามหลักโหราศาสตร์
....ข้อ 1) นั้น เป็นข้อพิเศษ คือผ้าสีขาว
เป็นเรื่องน่าแปลก ที่ผ้าขาวเกิดจากการฟอกย้อมจำนวนมาก มีทั้งขาวโดยธรรมชาติ และที่ประดิษฐ์ขึ้น
แต่ผ้าใช้ได้ผลทางโหราศาสตร์ เหตุผลก็เพราะ “ผ้า” นั้นคือ “พฤหัส”
พฤหัสนั้น มีสีธาตุเป็นสีเหลืองเข้ม และสีธรรมชาติ( ขาวตุ่นๆ)ด้วย
ดังนั้นเมื่อธรรมชาติให้ความหมายของพฤหัสออกมา ก็จะให้ความหมายสีขาวโดยปริยาย
ไม่ว่าผ้านั้นจะมีสีขาวหรือไม่ การที่โบราณมักใช้ผ้าขาวในพิธีกรรม
เพราะมีความหมายเป็น พฤหัส แทนที่จะใช้สีเหลืองแบบจีวรพระ ซึ่งจะดูขัดตาในพิธีส่วนใหญ่
ผ้าขาวมีความสำคัญคือความเป็นพฤหัส ไม่ใช่ความเป็นสีขาว แต่ถ้าได้ผ้าขาวธรรมชาติ(ไม่ได้ย้อม)
ก็จะได้ทั้งสองทาง ชี นั้นบวชด้วยผ้าขาว เท่ากับบวชด้วยผ้าเหลือง เพราะคือ พฤหัส เหมือนกัน
คำแนะนำข้อใดต่อไปนี้ ข้อใด เป็นไปตามหลักวิธีโหราศาสตร์
ชายผู้หนึ่งไปรับการพยากรณ์ทางโหราศาสตร์ หมอดูตรวจดวงชะตาแล้วเห็นว่า จะเกิดปัญหากับตัวเขาในปีนี้ จึงแนะนำให้ทำอะไรอย่างหนึ่ง
ปัญหานั้นก็อาจเบาบางหรือหมดไปได้ ถามว่าคำแนะนำข้อใดต่อไปนี้ ข้อใด เป็นไปตามหลักวิธีโหราศาสตร์
(เลือกกี่ข้อก็ได้ ให้เหตุผลสั้นๆด้วย)
1).....ปล่อยนก ปลา เต่า หอยขม ไถ่ชีวิตสัตว์ 2).....อดอาหาร ออกกำลังกายทุกวัน 3)....บวชพระ ถือศีล 4).....ย้ายที่นอน ที่อยู่
5).....เดินทางท่องเที่ยวไปต่างจังหวัด ต่างประเทศ 6).....เปลี่ยนชื่อ นามสกุล เติมแก้เลขทะเบียนรถ และ เลขที่บ้าน
7).....ไปจดทะเบียนหย่ากับภรรยา และจดทะเบียนยกลูกให้ผู้อื่น เป็นเคล็ด
8)......ผ่าตัด เสริมแต่ง แก้ไขใบหน้า
9).....สะเดาะเคราะห์เสียเงิน 9,999 บาท (ค่ายกครู 99 บาท + ค่ายกหมอดู
9,900 บาท) ไหว้ของดำ 8 สิ่ง ของหวาน 36 สิ่ง ไข่ต้ม 108 ฟอง
พวกเราที่ยังมาอ่านกันตอนนี้มีไม่มากนัก .......ส่วนใหญ่ก็มีความรู้โหราศาสตร์ระดับกลางๆ
หลายท่านรู้ทางพุทธศาสนาดีด้วย ถ้าเรียนรู้วิทยาการอื่นๆ เช่น ดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ จิตวิทยา และอื่นๆ แม้แต่ไสยศาสตร์ด้วย ก็จะช่วยให้มองเห็นโหราศาสตร์ที่แท้จริงดีขึ้น
.....นี่เป็นเหตุให้ผมเอาอะไรต่ออะไรมาทาย เพราะหากเรายังสับสนอยู่ก็จะทำให้ไม่ก้าวหน้าทางโหราศาสตร์ไปด้วย .....
อย่างที่คุณ “แม่ยายใครหว่า” พูดถึงเรื่อง ฮวงจุ้ยนั้น แท้จริงแล้ว ฮวงจุ้ยเป็นไสยศาสตร์
แต่โหรจีนในอดีตและปัจจุบัน ที่เรามักเรียกว่า ซินแส (อาจารย์) มักจะมีความรู้หลายด้านผสมกัน ทั้งโหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ วิชาพยากรณ์ ลัทธิขงจื้อ ลัทธิเต๋า พุทธธรรมและวิชาแพทย์ เวลาแนะนำอะไร หรือเรียนอะไรก็ปะปนกันไป จนโหราศาสตร์ถูกปรุงแต่งกลืนหายไปไปในศาสตร์ต่างๆ นี่เองทำให้โหราศาสตร์แท้ๆ ในประเทศจีน เกือบจะไม่มีการพัฒนาต่อมาอีกเลย เหลืออยู่แต่วิชาเดิมๆ ที่บรรพบุรุษให้มาเท่านั้น นักศึกษาวิชาโหราศาสตร์แท้ๆในจีนก็มี และแต่ละคนระดับอัจฉริยะทั้งนั้น แต่ก็ต้องทอดถอนใจเพราะไม่มีกำลังพอจะฝืนกระแสวัฒนธรรมได้แล้ว ดูอย่างวิชาฮวงจุ้ยที่มานิยมกันมากในช่วงไม่กี่สิบปีหลังๆนี้ ใครๆ แม้แต่อาจารย์ฮวงจุ้ยเองก็เห็นว่าเป็นโหราศาสตร์
.....ความจริงไสยศาสตร์ไม่ใช่วิชาน่ารังเกียจอะไรเลย ผมเห็นว่าน่าศึกษากว่าอะไรทั้งหมด ถ้าเรารู้ทฤษฎี ปรัชญา และการปฏิบัติของไสยศาสตร์ เราจะพบว่าศาสตร์นี้ก็คือธรรมชาติอีกด้านหนึ่งที่ถูกซ่อนไว้จากสายตาผู้คน ถ้าแหงนหน้าดูดวงจันทร์ ดวงจันทร์ที่เราเห็นจะหันหน้าด้านที่เปิดเผยมาทางเราโดยตลอด ในขณะที่อีกด้านหนึ่งเราไม่ได้เห็นมัน ไสยศาสตร์ก็เช่นกัน การที่เรามีทัศนคติไม่ดีต่อไสยศาสตร์ ก็เพราะมีผู้นำไปใช้ในทางที่ผิด จากความรู้เพียงเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
.....โหรไทยโบราณของเราก็มีความรู้แท้จริงทางไสยศาสตร์มาก แต่ท่านจะรู้ว่าอะไรคือโหราศาสตร์ อะไรคือไสยศาสตร์ ดังนั้น เวลานำไปใช้ก็จะถูกต้องทั้งสองศาสตร์ พวกเราที่เรียนวิชาโหราศาสตร์อยู่
ก็ต้องรู้จักแยกแยะด้วย เพราะเมื่อเราสืบค้นลงไป ไม่ว่าจะเป็นทางโบราณคดี หรือประวัติศาสตร์ จะทำให้เราทราบสถานการณ์ความคิดของคนในยุคนั้นดีขึ้น ผมอ่านหนังสือตำราบางเล่ม กล่าวถึงหลักฐานวัตถุโบราณบางอย่าง ว่าเป็นเรื่องโหราศาสตร์ ผมดูแล้วก็รู้ว่านั่นคือไสยศาสตร์ และถ้าเราขุดค้นจากตรงนั้นไปในทิศอีกทิศหนึ่ง เราจะพบวัตถุทางไสยศาสตร์อีกหลายชิ้นฝังอยู่ และจะมีคุณค่ามากทางประวัติศาสตร์ แต่สังคมโหราศาสตร์ของไทยกำลังกลายเป็นเหมือนสังคมจีนเข้าไปทุกที
โหราศาสตร์ที่แท้ของเรากำลังถูกกลบเกลื่อนให้เลือนหายไปทั้งโดยบุคคลที่เป็นโหรเอง และผู้คนรอบด้าน และตอนนี้ผมก็เห็นว่าไม่มีทางฝืนกระแสวัฒนธรรมได้อีกแล้ว เพราะไม่มีกำลังพอ คิดดูเถิด เพราะกว่าเราจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็ต้องใช้เวลาร่วมกึ่งศตวรรษทีเดียว จะไปอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างไร โดยไม่ต้องขัดแย้ง หรือไปต่อยตีกับคนอื่น
คำตอบกระทู้ข้อที่แปด -
ข้อนี้ตอบง่าย หัวข้อ 1) 2) 3) 4) 5) เป็นวิธีทางโหราศาสตร์ ส่วน 6) 7) 8) 9) นั้นไม่ใช่
.....ปัจจุบัน มีความเชื่อแพร่หลายในสังคมเรื่องวิธีแก้ ลดทอน สะเดาะเคราะห์กรรมหรือโชคร้าย รวมถึงความเชื่อในเรื่องบุญ และบาปทางศาสนาแล้วเข้าใจว่าเป็นโหราศาสตร์ หรือชาวบ้านก็เข้าใจเช่นนั้น จนถึงกับว่าหมอดูคนไหนไม่รู้จักแนะนำเช่นนั้น แสดงว่าไม่เก่งจริง อันที่จริง หลายเรื่องเป็นเรื่องทาง ศาสนา ไสยศาสตร์ หรือความเชื่อที่เรียกว่า “มงคลตื่นข่าว” ไม่มีมูลความจริง.....
โหราศาสตร์นั้นใช้วิธีแก้ไขโดยความหมายสัญลักษณ์ที่ธรรมชาติแสดงออกมาเอง
ไม่ใช่โดยวิธีเสริมแต่งบิดเบือน โดยที่ผู้กระทำก็รู้อยู่แก่ใจ
ทำนองเดียวกับคนที่ไปบนบานว่า ถ้าสำเร็จจะมาแก้ผ้ารำแก้บน หรือ จะถวายข้าวสาร
100 กระสอบ ครั้นถึงเวลาที่ต้องแก้บนจริงๆ ก็เอาผ้าผูกแขน แล้วแก้ออก รำเหยิบๆ สองทีเป็นอันจบ หรือ เอาข้าวสารมาใส่ถุงผ้าเล็กๆ 100 ถุง สมมุติเอาว่าเป็นข้าว 100 กระสอบ การทำโดยบิดเบือนเช่นนี้ไม่ได้มีผลทางโหราศาสตร์
ดังนั้น การไปจดทะเบียนหย่ากัน หรือยกลูกให้คนอื่นอย่างหลอกๆ จึงเป็นการเสียเวลาเปล่าๆ ส่วนการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงใบหน้า อาจจะมีผลทางจิตวิทยา และสังคม แต่ไม่เป็นผลทางโหราศาสตร์ เนื่องจาก ร่างกายคน เป็น “ผล” จากดวงชะตาแสดงออกมา ไม่ใช่เป็น “เหตุ” ไปลิขิตดวงชะตา
......ในกระทู้นี้
การเปลี่ยนชื่อ และนามสกุล ที่นิยมทำกันอยู่ อาจจะมีผลทางจิตวิทยาและความสบายใจ แต่ไม่ใช่หลักทางโหราศาสตร์
โดยเฉพาะการใช้ตัวอักษรวรรคต่างๆที่เชื่อว่า เดช ศรี มนตรี ดี แต่กาลกิณีไม่ดี เป็นเรื่องเข้าใจผิดซับซ้อนกันมานานมากแล้ว ดาวเดช ศรี มนตรี ในบางดวงให้โทษมาก กาลกิณีให้คุณมากมีถมไป นักโทษที่ถูกประหารมากมาย มี มนตรี+เดช+ศรี (แปลว่า ผู้พิพากษาศาลฎีกา) ให้โทษ ในหมวดหมู่ตัวอักษรที่แบ่งไว้นั้น เป็นการแบ่งตามฐานที่เกิดของเสียงอักขระ วรรณยุกต์และ ไวยากรณ์ตามหลักภาษาไทย ทางสงฆ์จึงนำมาใช้ตั้งหมวดหมู่ฉายาพระ ด้วยอักษรตั้งต้นในช่องนั้นตามวันเกิดเสมอกันทุกคน เพื่อลดละความยึดมั่นถือมั่นในยศศักดิ์ของผู้บวช ไม่ได้มีความหมายใดตามทักษา ต่อมาชาวบ้านจึงตั้งชื่อเอาตามอย่างบ้าง
จนกลายเป็นเชื่อมงคลตื่นข่าว เปลี่ยนชื่อกันวุ่นวายอย่างทุกวันนี้ เป็นความไม่เข้าใจทักษา สมัยโบราณโหรก็ไม่ได้ตั้งชื่อเด็กด้วยวิธีนี้ บางคนใช้อักษรวรรคกาลกิณีตั้งชื่อลูกหลานของตนเองด้วยซ้ำไป บุคคลสำคัญและมีความรู้โหราศาสตร์อย่างดีในประวัติศาสตร์ ก็ใช้อักษรตั้งชื่อในวรรคบริวารบ้าง วรรคอื่นๆบ้าง เพราะไม่ได้มีความสำคัญ
แต่ความหมายของ “ชื่อ และเสียงเรียกขาน” จริงๆต่างหากที่มีความหมายทางโหราศาสตร์
.....ส่วนการแต่งเติมเสริมแก้เลขทะเบียนรถบ้าง เลขที่บ้านบ้าง บัตรประชาชนบ้าง ใบขับขี่บ้าง
จนถึงเลขทุกอย่าง เช่นบนบัตรเครดิต เบอร์โทรศัพท์ ล้วนแต่มีผลเพียงเพิ่มรายได้ให้แก่หมอดู
เอามาใช้หากินโดยขาดความรู้ หรือจงใจ
ที่จริงแล้ว ตัวเลขนั้นมีความเกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์ลึกซึ้งกว่านี้มาก
เนื่องจาก ตัวเลขนั้น ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เป็น “ผล” จากดวงชะตาแสดงออกมา
ไม่ใช่เป็น “เหตุ” ที่ไปลิขิตดวงชะตา เราไม่อาจแก้จากผลไปบันดาลเหตุได้
ดังนั้นการสะเดาะเคราะห์ด้วยวัตถุสิ่งของ ด้วยตัวเลขจำนวนเท่านั้นเท่านี้ก็ไม่เป็นผลทางโหราศาสตร์ด้วย
.....การที่ปฏิเสธว่าอะไรไม่ใช่โหราศาสตร์นั้น เพื่อประโยชน์ในการศึกษาทางโหราศาสตร์เอง เพราะจะทำให้เราเข้าถึงหลักการจริงๆมากขึ้น แต่ไม่ได้ไปตัดสินว่าการกระทำต่างๆเป็นสิ่งที่ผิด
เนื่องจากบางครั้งเราก็ต้องการความสบายใจเพื่อเป็นกำลังใจในการสู้ชีวิตต่อไป
เช่น การเปลี่ยนชื่อ ไปผ่าตัดเปลี่ยนแปลงใบหน้า หรือ แม้แต่การสะเดาะเคราะห์ที่มีผลเพียงทำดี เพราะการที่คนมาทักเราว่าอะไรไม่ดีมากๆเข้า ก็ทำให้เราใจเสียได้
.....
โหราศาสตร์นั้นอิงกับข้อเท็จจริงในธรรมชาติ
ธรรมชาติมีความตรงไปตรงมา
การแก้ไขเหตุการณ์ใดๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนั้น จึงต้องใช้วิธีแก้ไข โดยความหมายสัญลักษณ์ที่ธรรมชาติแสดงออกมาเองเท่านั้น
อย่างเช่น การปล่อยนก ปล่อยปลา ฯลฯ
“อาทิตย์” เป็นสัญลักษณ์ของสัตว์ปีก เช่น นก และ ไก่
ส่วน “เสาร์” เป็นสัญลักษณ์ของ ปลา ปลาไหล งู และสัตว์เลื้อยคลาน
แต่ความหมายสำคัญที่ซ้อนทับกันมา คือ
อาทิตย์ หมายถึง ชีวิต และความรุ่มร้อน
เสาร์ คือ ทุกข์ทรมาน และอุปสรรค
ดังนั้น เมื่อ อาทิตย์ หรือเสาร์ เป็นพิษอยู่ในดวงชะตา การปลดปล่อยออกไป จึงเป็นสิ่งที่ถูกตามกระบวนการตีความหมายทางโหราศาสตร์ สัตว์อื่นๆก็เช่นกัน
.....
คำแนะนำให้อดอาหารและ ออกกำลังกายนั้น
......
เป็นความหมายซ้อนทับของ “อริ” และ “มรณะ” เป็นอริ และมรณะที่ส่งผลดีตามลำดับ เพื่อไม่ให้อริและมรณะที่ส่งผลร้ายมาแสดงก่อน
ขอให้สังเกตข้อเท็จจริงของธรรมชาติว่า เมื่อกินอาหารน้อย (อดอาหาร) และออกกำลังกายบ่อยๆ ( ป่วยโดยการกระทำ) ก็จะเจ็บป่วยไข้น้อยลง (เพราะแข็งแรงขึ้น) เราจะสังเกตได้ว่าหลังจากเล่นกีฬามาใหม่ๆ ร่างกายจะหอบเหนื่อยเมื่อยล้า หัวใจเต้นแรง คล้ายกับเจ็บป่วย แต่เราไม่ตกใจ.....การเดินทางท่องเที่ยว เป็นความหมายของ “สหัชชะ” และ “ศุภะ”และการย้ายที่นอน ที่อยู่ เป็นความหมายของ “มรณะ” และ “พันธุ”......ส่วน การบวชพระ ถือศีล บังคับตนให้อดงดเว้น เป็นความหมายของ “อริ” “มรณะ” และ “วินาสน์” นั่นเอง
เมื่อใด ดวงชะตาบ่งบอกจะเกิดเหตุการณ์ความเสียหายตามความหมายเรือนหรือดาว จึงแนะนำให้เลือกทำความหมายที่ไม่ส่งผลร้ายก่อน เมื่อได้บังเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว โอกาสที่จะเกิดเหตุตามความหมายที่ร้ายกว่าจะลดลงไป แต่ต้องทำจริงๆ ไม่ใช่หลอกธรรมชาติ และตัวเอง
.....
อย่างไรก็ตาม การทำตามข้อแนะนำดังกล่าวจะมีผลในแต่ละคน และแต่ละดวงชะตาไม่เท่ากัน แล้วแต่กำลังความแรงของเหตุการณ์ด้วย พึงคิดเสมอว่า ธรรมชาติมีทางเลือกมากหลายอย่างในการแสดงออก เมื่อแก้ทางหนึ่ง ก็อาจไปออกทางอื่น ท่านเปรียบเทียบว่า เหมือนทางน้ำเล็กๆ ลำพังดินกำมือเดียว ก็อุดกั้นอยู่ แต่ถ้าเป็นกระแสน้ำใหญ่ไหลเชี่ยวกราก แม้ถมดินทั้งเมืองลงไปขวาง น้ำนั้น ก็ย่อมหาทางเล็ดลอดออกไปจนได้ ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง
.........
ผมจำเป็นต้องกลับไปอยู่ต่างประเทศแล้วครับ ไปอยู่คนละซีกโลก ไปๆมาๆ ปีละครั้ง สองครั้ง ผมจะหายไปจากตรงนี้นับจากวันนี้ครับ ขอให้ทุกคนโชคดี
ปัญหานั้นก็อาจเบาบางหรือหมดไปได้ ถามว่าคำแนะนำข้อใดต่อไปนี้ ข้อใด เป็นไปตามหลักวิธีโหราศาสตร์
(เลือกกี่ข้อก็ได้ ให้เหตุผลสั้นๆด้วย)
1).....ปล่อยนก ปลา เต่า หอยขม ไถ่ชีวิตสัตว์ 2).....อดอาหาร ออกกำลังกายทุกวัน 3)....บวชพระ ถือศีล 4).....ย้ายที่นอน ที่อยู่
5).....เดินทางท่องเที่ยวไปต่างจังหวัด ต่างประเทศ 6).....เปลี่ยนชื่อ นามสกุล เติมแก้เลขทะเบียนรถ และ เลขที่บ้าน
7).....ไปจดทะเบียนหย่ากับภรรยา และจดทะเบียนยกลูกให้ผู้อื่น เป็นเคล็ด
8)......ผ่าตัด เสริมแต่ง แก้ไขใบหน้า
9).....สะเดาะเคราะห์เสียเงิน 9,999 บาท (ค่ายกครู 99 บาท + ค่ายกหมอดู
9,900 บาท) ไหว้ของดำ 8 สิ่ง ของหวาน 36 สิ่ง ไข่ต้ม 108 ฟอง
พวกเราที่ยังมาอ่านกันตอนนี้มีไม่มากนัก .......ส่วนใหญ่ก็มีความรู้โหราศาสตร์ระดับกลางๆ
หลายท่านรู้ทางพุทธศาสนาดีด้วย ถ้าเรียนรู้วิทยาการอื่นๆ เช่น ดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ จิตวิทยา และอื่นๆ แม้แต่ไสยศาสตร์ด้วย ก็จะช่วยให้มองเห็นโหราศาสตร์ที่แท้จริงดีขึ้น
.....นี่เป็นเหตุให้ผมเอาอะไรต่ออะไรมาทาย เพราะหากเรายังสับสนอยู่ก็จะทำให้ไม่ก้าวหน้าทางโหราศาสตร์ไปด้วย .....
อย่างที่คุณ “แม่ยายใครหว่า” พูดถึงเรื่อง ฮวงจุ้ยนั้น แท้จริงแล้ว ฮวงจุ้ยเป็นไสยศาสตร์
แต่โหรจีนในอดีตและปัจจุบัน ที่เรามักเรียกว่า ซินแส (อาจารย์) มักจะมีความรู้หลายด้านผสมกัน ทั้งโหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ วิชาพยากรณ์ ลัทธิขงจื้อ ลัทธิเต๋า พุทธธรรมและวิชาแพทย์ เวลาแนะนำอะไร หรือเรียนอะไรก็ปะปนกันไป จนโหราศาสตร์ถูกปรุงแต่งกลืนหายไปไปในศาสตร์ต่างๆ นี่เองทำให้โหราศาสตร์แท้ๆ ในประเทศจีน เกือบจะไม่มีการพัฒนาต่อมาอีกเลย เหลืออยู่แต่วิชาเดิมๆ ที่บรรพบุรุษให้มาเท่านั้น นักศึกษาวิชาโหราศาสตร์แท้ๆในจีนก็มี และแต่ละคนระดับอัจฉริยะทั้งนั้น แต่ก็ต้องทอดถอนใจเพราะไม่มีกำลังพอจะฝืนกระแสวัฒนธรรมได้แล้ว ดูอย่างวิชาฮวงจุ้ยที่มานิยมกันมากในช่วงไม่กี่สิบปีหลังๆนี้ ใครๆ แม้แต่อาจารย์ฮวงจุ้ยเองก็เห็นว่าเป็นโหราศาสตร์
.....ความจริงไสยศาสตร์ไม่ใช่วิชาน่ารังเกียจอะไรเลย ผมเห็นว่าน่าศึกษากว่าอะไรทั้งหมด ถ้าเรารู้ทฤษฎี ปรัชญา และการปฏิบัติของไสยศาสตร์ เราจะพบว่าศาสตร์นี้ก็คือธรรมชาติอีกด้านหนึ่งที่ถูกซ่อนไว้จากสายตาผู้คน ถ้าแหงนหน้าดูดวงจันทร์ ดวงจันทร์ที่เราเห็นจะหันหน้าด้านที่เปิดเผยมาทางเราโดยตลอด ในขณะที่อีกด้านหนึ่งเราไม่ได้เห็นมัน ไสยศาสตร์ก็เช่นกัน การที่เรามีทัศนคติไม่ดีต่อไสยศาสตร์ ก็เพราะมีผู้นำไปใช้ในทางที่ผิด จากความรู้เพียงเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
.....โหรไทยโบราณของเราก็มีความรู้แท้จริงทางไสยศาสตร์มาก แต่ท่านจะรู้ว่าอะไรคือโหราศาสตร์ อะไรคือไสยศาสตร์ ดังนั้น เวลานำไปใช้ก็จะถูกต้องทั้งสองศาสตร์ พวกเราที่เรียนวิชาโหราศาสตร์อยู่
ก็ต้องรู้จักแยกแยะด้วย เพราะเมื่อเราสืบค้นลงไป ไม่ว่าจะเป็นทางโบราณคดี หรือประวัติศาสตร์ จะทำให้เราทราบสถานการณ์ความคิดของคนในยุคนั้นดีขึ้น ผมอ่านหนังสือตำราบางเล่ม กล่าวถึงหลักฐานวัตถุโบราณบางอย่าง ว่าเป็นเรื่องโหราศาสตร์ ผมดูแล้วก็รู้ว่านั่นคือไสยศาสตร์ และถ้าเราขุดค้นจากตรงนั้นไปในทิศอีกทิศหนึ่ง เราจะพบวัตถุทางไสยศาสตร์อีกหลายชิ้นฝังอยู่ และจะมีคุณค่ามากทางประวัติศาสตร์ แต่สังคมโหราศาสตร์ของไทยกำลังกลายเป็นเหมือนสังคมจีนเข้าไปทุกที
โหราศาสตร์ที่แท้ของเรากำลังถูกกลบเกลื่อนให้เลือนหายไปทั้งโดยบุคคลที่เป็นโหรเอง และผู้คนรอบด้าน และตอนนี้ผมก็เห็นว่าไม่มีทางฝืนกระแสวัฒนธรรมได้อีกแล้ว เพราะไม่มีกำลังพอ คิดดูเถิด เพราะกว่าเราจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็ต้องใช้เวลาร่วมกึ่งศตวรรษทีเดียว จะไปอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างไร โดยไม่ต้องขัดแย้ง หรือไปต่อยตีกับคนอื่น
คำตอบกระทู้ข้อที่แปด -
ข้อนี้ตอบง่าย หัวข้อ 1) 2) 3) 4) 5) เป็นวิธีทางโหราศาสตร์ ส่วน 6) 7) 8) 9) นั้นไม่ใช่
.....ปัจจุบัน มีความเชื่อแพร่หลายในสังคมเรื่องวิธีแก้ ลดทอน สะเดาะเคราะห์กรรมหรือโชคร้าย รวมถึงความเชื่อในเรื่องบุญ และบาปทางศาสนาแล้วเข้าใจว่าเป็นโหราศาสตร์ หรือชาวบ้านก็เข้าใจเช่นนั้น จนถึงกับว่าหมอดูคนไหนไม่รู้จักแนะนำเช่นนั้น แสดงว่าไม่เก่งจริง อันที่จริง หลายเรื่องเป็นเรื่องทาง ศาสนา ไสยศาสตร์ หรือความเชื่อที่เรียกว่า “มงคลตื่นข่าว” ไม่มีมูลความจริง.....
โหราศาสตร์นั้นใช้วิธีแก้ไขโดยความหมายสัญลักษณ์ที่ธรรมชาติแสดงออกมาเอง
ไม่ใช่โดยวิธีเสริมแต่งบิดเบือน โดยที่ผู้กระทำก็รู้อยู่แก่ใจ
ทำนองเดียวกับคนที่ไปบนบานว่า ถ้าสำเร็จจะมาแก้ผ้ารำแก้บน หรือ จะถวายข้าวสาร
100 กระสอบ ครั้นถึงเวลาที่ต้องแก้บนจริงๆ ก็เอาผ้าผูกแขน แล้วแก้ออก รำเหยิบๆ สองทีเป็นอันจบ หรือ เอาข้าวสารมาใส่ถุงผ้าเล็กๆ 100 ถุง สมมุติเอาว่าเป็นข้าว 100 กระสอบ การทำโดยบิดเบือนเช่นนี้ไม่ได้มีผลทางโหราศาสตร์
ดังนั้น การไปจดทะเบียนหย่ากัน หรือยกลูกให้คนอื่นอย่างหลอกๆ จึงเป็นการเสียเวลาเปล่าๆ ส่วนการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงใบหน้า อาจจะมีผลทางจิตวิทยา และสังคม แต่ไม่เป็นผลทางโหราศาสตร์ เนื่องจาก ร่างกายคน เป็น “ผล” จากดวงชะตาแสดงออกมา ไม่ใช่เป็น “เหตุ” ไปลิขิตดวงชะตา
......ในกระทู้นี้
การเปลี่ยนชื่อ และนามสกุล ที่นิยมทำกันอยู่ อาจจะมีผลทางจิตวิทยาและความสบายใจ แต่ไม่ใช่หลักทางโหราศาสตร์
โดยเฉพาะการใช้ตัวอักษรวรรคต่างๆที่เชื่อว่า เดช ศรี มนตรี ดี แต่กาลกิณีไม่ดี เป็นเรื่องเข้าใจผิดซับซ้อนกันมานานมากแล้ว ดาวเดช ศรี มนตรี ในบางดวงให้โทษมาก กาลกิณีให้คุณมากมีถมไป นักโทษที่ถูกประหารมากมาย มี มนตรี+เดช+ศรี (แปลว่า ผู้พิพากษาศาลฎีกา) ให้โทษ ในหมวดหมู่ตัวอักษรที่แบ่งไว้นั้น เป็นการแบ่งตามฐานที่เกิดของเสียงอักขระ วรรณยุกต์และ ไวยากรณ์ตามหลักภาษาไทย ทางสงฆ์จึงนำมาใช้ตั้งหมวดหมู่ฉายาพระ ด้วยอักษรตั้งต้นในช่องนั้นตามวันเกิดเสมอกันทุกคน เพื่อลดละความยึดมั่นถือมั่นในยศศักดิ์ของผู้บวช ไม่ได้มีความหมายใดตามทักษา ต่อมาชาวบ้านจึงตั้งชื่อเอาตามอย่างบ้าง
จนกลายเป็นเชื่อมงคลตื่นข่าว เปลี่ยนชื่อกันวุ่นวายอย่างทุกวันนี้ เป็นความไม่เข้าใจทักษา สมัยโบราณโหรก็ไม่ได้ตั้งชื่อเด็กด้วยวิธีนี้ บางคนใช้อักษรวรรคกาลกิณีตั้งชื่อลูกหลานของตนเองด้วยซ้ำไป บุคคลสำคัญและมีความรู้โหราศาสตร์อย่างดีในประวัติศาสตร์ ก็ใช้อักษรตั้งชื่อในวรรคบริวารบ้าง วรรคอื่นๆบ้าง เพราะไม่ได้มีความสำคัญ
แต่ความหมายของ “ชื่อ และเสียงเรียกขาน” จริงๆต่างหากที่มีความหมายทางโหราศาสตร์
.....ส่วนการแต่งเติมเสริมแก้เลขทะเบียนรถบ้าง เลขที่บ้านบ้าง บัตรประชาชนบ้าง ใบขับขี่บ้าง
จนถึงเลขทุกอย่าง เช่นบนบัตรเครดิต เบอร์โทรศัพท์ ล้วนแต่มีผลเพียงเพิ่มรายได้ให้แก่หมอดู
เอามาใช้หากินโดยขาดความรู้ หรือจงใจ
ที่จริงแล้ว ตัวเลขนั้นมีความเกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์ลึกซึ้งกว่านี้มาก
เนื่องจาก ตัวเลขนั้น ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เป็น “ผล” จากดวงชะตาแสดงออกมา
ไม่ใช่เป็น “เหตุ” ที่ไปลิขิตดวงชะตา เราไม่อาจแก้จากผลไปบันดาลเหตุได้
ดังนั้นการสะเดาะเคราะห์ด้วยวัตถุสิ่งของ ด้วยตัวเลขจำนวนเท่านั้นเท่านี้ก็ไม่เป็นผลทางโหราศาสตร์ด้วย
.....การที่ปฏิเสธว่าอะไรไม่ใช่โหราศาสตร์นั้น เพื่อประโยชน์ในการศึกษาทางโหราศาสตร์เอง เพราะจะทำให้เราเข้าถึงหลักการจริงๆมากขึ้น แต่ไม่ได้ไปตัดสินว่าการกระทำต่างๆเป็นสิ่งที่ผิด
เนื่องจากบางครั้งเราก็ต้องการความสบายใจเพื่อเป็นกำลังใจในการสู้ชีวิตต่อไป
เช่น การเปลี่ยนชื่อ ไปผ่าตัดเปลี่ยนแปลงใบหน้า หรือ แม้แต่การสะเดาะเคราะห์ที่มีผลเพียงทำดี เพราะการที่คนมาทักเราว่าอะไรไม่ดีมากๆเข้า ก็ทำให้เราใจเสียได้
.....
โหราศาสตร์นั้นอิงกับข้อเท็จจริงในธรรมชาติ
ธรรมชาติมีความตรงไปตรงมา
การแก้ไขเหตุการณ์ใดๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนั้น จึงต้องใช้วิธีแก้ไข โดยความหมายสัญลักษณ์ที่ธรรมชาติแสดงออกมาเองเท่านั้น
อย่างเช่น การปล่อยนก ปล่อยปลา ฯลฯ
“อาทิตย์” เป็นสัญลักษณ์ของสัตว์ปีก เช่น นก และ ไก่
ส่วน “เสาร์” เป็นสัญลักษณ์ของ ปลา ปลาไหล งู และสัตว์เลื้อยคลาน
แต่ความหมายสำคัญที่ซ้อนทับกันมา คือ
อาทิตย์ หมายถึง ชีวิต และความรุ่มร้อน
เสาร์ คือ ทุกข์ทรมาน และอุปสรรค
ดังนั้น เมื่อ อาทิตย์ หรือเสาร์ เป็นพิษอยู่ในดวงชะตา การปลดปล่อยออกไป จึงเป็นสิ่งที่ถูกตามกระบวนการตีความหมายทางโหราศาสตร์ สัตว์อื่นๆก็เช่นกัน
.....
คำแนะนำให้อดอาหารและ ออกกำลังกายนั้น
......
เป็นความหมายซ้อนทับของ “อริ” และ “มรณะ” เป็นอริ และมรณะที่ส่งผลดีตามลำดับ เพื่อไม่ให้อริและมรณะที่ส่งผลร้ายมาแสดงก่อน
ขอให้สังเกตข้อเท็จจริงของธรรมชาติว่า เมื่อกินอาหารน้อย (อดอาหาร) และออกกำลังกายบ่อยๆ ( ป่วยโดยการกระทำ) ก็จะเจ็บป่วยไข้น้อยลง (เพราะแข็งแรงขึ้น) เราจะสังเกตได้ว่าหลังจากเล่นกีฬามาใหม่ๆ ร่างกายจะหอบเหนื่อยเมื่อยล้า หัวใจเต้นแรง คล้ายกับเจ็บป่วย แต่เราไม่ตกใจ.....การเดินทางท่องเที่ยว เป็นความหมายของ “สหัชชะ” และ “ศุภะ”และการย้ายที่นอน ที่อยู่ เป็นความหมายของ “มรณะ” และ “พันธุ”......ส่วน การบวชพระ ถือศีล บังคับตนให้อดงดเว้น เป็นความหมายของ “อริ” “มรณะ” และ “วินาสน์” นั่นเอง
เมื่อใด ดวงชะตาบ่งบอกจะเกิดเหตุการณ์ความเสียหายตามความหมายเรือนหรือดาว จึงแนะนำให้เลือกทำความหมายที่ไม่ส่งผลร้ายก่อน เมื่อได้บังเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว โอกาสที่จะเกิดเหตุตามความหมายที่ร้ายกว่าจะลดลงไป แต่ต้องทำจริงๆ ไม่ใช่หลอกธรรมชาติ และตัวเอง
.....
อย่างไรก็ตาม การทำตามข้อแนะนำดังกล่าวจะมีผลในแต่ละคน และแต่ละดวงชะตาไม่เท่ากัน แล้วแต่กำลังความแรงของเหตุการณ์ด้วย พึงคิดเสมอว่า ธรรมชาติมีทางเลือกมากหลายอย่างในการแสดงออก เมื่อแก้ทางหนึ่ง ก็อาจไปออกทางอื่น ท่านเปรียบเทียบว่า เหมือนทางน้ำเล็กๆ ลำพังดินกำมือเดียว ก็อุดกั้นอยู่ แต่ถ้าเป็นกระแสน้ำใหญ่ไหลเชี่ยวกราก แม้ถมดินทั้งเมืองลงไปขวาง น้ำนั้น ก็ย่อมหาทางเล็ดลอดออกไปจนได้ ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง
.........
ผมจำเป็นต้องกลับไปอยู่ต่างประเทศแล้วครับ ไปอยู่คนละซีกโลก ไปๆมาๆ ปีละครั้ง สองครั้ง ผมจะหายไปจากตรงนี้นับจากวันนี้ครับ ขอให้ทุกคนโชคดี
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)