วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551

คำแนะนำข้อใดต่อไปนี้ ข้อใด เป็นไปตามหลักวิธีโหราศาสตร์

ชายผู้หนึ่งไปรับการพยากรณ์ทางโหราศาสตร์ หมอดูตรวจดวงชะตาแล้วเห็นว่า จะเกิดปัญหากับตัวเขาในปีนี้ จึงแนะนำให้ทำอะไรอย่างหนึ่ง
ปัญหานั้นก็อาจเบาบางหรือหมดไปได้ ถามว่าคำแนะนำข้อใดต่อไปนี้ ข้อใด เป็นไปตามหลักวิธีโหราศาสตร์
(เลือกกี่ข้อก็ได้ ให้เหตุผลสั้นๆด้วย)
1).....ปล่อยนก ปลา เต่า หอยขม ไถ่ชีวิตสัตว์ 2).....อดอาหาร ออกกำลังกายทุกวัน 3)....บวชพระ ถือศีล 4).....ย้ายที่นอน ที่อยู่
5).....เดินทางท่องเที่ยวไปต่างจังหวัด ต่างประเทศ 6).....เปลี่ยนชื่อ นามสกุล เติมแก้เลขทะเบียนรถ และ เลขที่บ้าน
7).....ไปจดทะเบียนหย่ากับภรรยา และจดทะเบียนยกลูกให้ผู้อื่น เป็นเคล็ด
8)......ผ่าตัด เสริมแต่ง แก้ไขใบหน้า
9).....สะเดาะเคราะห์เสียเงิน 9,999 บาท (ค่ายกครู 99 บาท + ค่ายกหมอดู
9,900 บาท) ไหว้ของดำ 8 สิ่ง ของหวาน 36 สิ่ง ไข่ต้ม 108 ฟอง


พวกเราที่ยังมาอ่านกันตอนนี้มีไม่มากนัก .......ส่วนใหญ่ก็มีความรู้โหราศาสตร์ระดับกลางๆ
หลายท่านรู้ทางพุทธศาสนาดีด้วย ถ้าเรียนรู้วิทยาการอื่นๆ เช่น ดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ จิตวิทยา และอื่นๆ แม้แต่ไสยศาสตร์ด้วย ก็จะช่วยให้มองเห็นโหราศาสตร์ที่แท้จริงดีขึ้น

.....นี่เป็นเหตุให้ผมเอาอะไรต่ออะไรมาทาย เพราะหากเรายังสับสนอยู่ก็จะทำให้ไม่ก้าวหน้าทางโหราศาสตร์ไปด้วย .....
อย่างที่คุณ “แม่ยายใครหว่า” พูดถึงเรื่อง ฮวงจุ้ยนั้น แท้จริงแล้ว ฮวงจุ้ยเป็นไสยศาสตร์
แต่โหรจีนในอดีตและปัจจุบัน ที่เรามักเรียกว่า ซินแส (อาจารย์) มักจะมีความรู้หลายด้านผสมกัน ทั้งโหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ วิชาพยากรณ์ ลัทธิขงจื้อ ลัทธิเต๋า พุทธธรรมและวิชาแพทย์ เวลาแนะนำอะไร หรือเรียนอะไรก็ปะปนกันไป จนโหราศาสตร์ถูกปรุงแต่งกลืนหายไปไปในศาสตร์ต่างๆ นี่เองทำให้โหราศาสตร์แท้ๆ ในประเทศจีน เกือบจะไม่มีการพัฒนาต่อมาอีกเลย เหลืออยู่แต่วิชาเดิมๆ ที่บรรพบุรุษให้มาเท่านั้น นักศึกษาวิชาโหราศาสตร์แท้ๆในจีนก็มี และแต่ละคนระดับอัจฉริยะทั้งนั้น แต่ก็ต้องทอดถอนใจเพราะไม่มีกำลังพอจะฝืนกระแสวัฒนธรรมได้แล้ว ดูอย่างวิชาฮวงจุ้ยที่มานิยมกันมากในช่วงไม่กี่สิบปีหลังๆนี้ ใครๆ แม้แต่อาจารย์ฮวงจุ้ยเองก็เห็นว่าเป็นโหราศาสตร์
.....ความจริงไสยศาสตร์ไม่ใช่วิชาน่ารังเกียจอะไรเลย ผมเห็นว่าน่าศึกษากว่าอะไรทั้งหมด ถ้าเรารู้ทฤษฎี ปรัชญา และการปฏิบัติของไสยศาสตร์ เราจะพบว่าศาสตร์นี้ก็คือธรรมชาติอีกด้านหนึ่งที่ถูกซ่อนไว้จากสายตาผู้คน ถ้าแหงนหน้าดูดวงจันทร์ ดวงจันทร์ที่เราเห็นจะหันหน้าด้านที่เปิดเผยมาทางเราโดยตลอด ในขณะที่อีกด้านหนึ่งเราไม่ได้เห็นมัน ไสยศาสตร์ก็เช่นกัน การที่เรามีทัศนคติไม่ดีต่อไสยศาสตร์ ก็เพราะมีผู้นำไปใช้ในทางที่ผิด จากความรู้เพียงเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
.....โหรไทยโบราณของเราก็มีความรู้แท้จริงทางไสยศาสตร์มาก แต่ท่านจะรู้ว่าอะไรคือโหราศาสตร์ อะไรคือไสยศาสตร์ ดังนั้น เวลานำไปใช้ก็จะถูกต้องทั้งสองศาสตร์ พวกเราที่เรียนวิชาโหราศาสตร์อยู่
ก็ต้องรู้จักแยกแยะด้วย เพราะเมื่อเราสืบค้นลงไป ไม่ว่าจะเป็นทางโบราณคดี หรือประวัติศาสตร์ จะทำให้เราทราบสถานการณ์ความคิดของคนในยุคนั้นดีขึ้น ผมอ่านหนังสือตำราบางเล่ม กล่าวถึงหลักฐานวัตถุโบราณบางอย่าง ว่าเป็นเรื่องโหราศาสตร์ ผมดูแล้วก็รู้ว่านั่นคือไสยศาสตร์ และถ้าเราขุดค้นจากตรงนั้นไปในทิศอีกทิศหนึ่ง เราจะพบวัตถุทางไสยศาสตร์อีกหลายชิ้นฝังอยู่ และจะมีคุณค่ามากทางประวัติศาสตร์ แต่สังคมโหราศาสตร์ของไทยกำลังกลายเป็นเหมือนสังคมจีนเข้าไปทุกที

โหราศาสตร์ที่แท้ของเรากำลังถูกกลบเกลื่อนให้เลือนหายไปทั้งโดยบุคคลที่เป็นโหรเอง และผู้คนรอบด้าน และตอนนี้ผมก็เห็นว่าไม่มีทางฝืนกระแสวัฒนธรรมได้อีกแล้ว เพราะไม่มีกำลังพอ คิดดูเถิด เพราะกว่าเราจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็ต้องใช้เวลาร่วมกึ่งศตวรรษทีเดียว จะไปอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างไร โดยไม่ต้องขัดแย้ง หรือไปต่อยตีกับคนอื่น

คำตอบกระทู้ข้อที่แปด -
ข้อนี้ตอบง่าย หัวข้อ 1) 2) 3) 4) 5) เป็นวิธีทางโหราศาสตร์ ส่วน 6) 7) 8) 9) นั้นไม่ใช่

.....ปัจจุบัน มีความเชื่อแพร่หลายในสังคมเรื่องวิธีแก้ ลดทอน สะเดาะเคราะห์กรรมหรือโชคร้าย รวมถึงความเชื่อในเรื่องบุญ และบาปทางศาสนาแล้วเข้าใจว่าเป็นโหราศาสตร์ หรือชาวบ้านก็เข้าใจเช่นนั้น จนถึงกับว่าหมอดูคนไหนไม่รู้จักแนะนำเช่นนั้น แสดงว่าไม่เก่งจริง อันที่จริง หลายเรื่องเป็นเรื่องทาง ศาสนา ไสยศาสตร์ หรือความเชื่อที่เรียกว่า “มงคลตื่นข่าว” ไม่มีมูลความจริง.....

โหราศาสตร์นั้นใช้วิธีแก้ไขโดยความหมายสัญลักษณ์ที่ธรรมชาติแสดงออกมาเอง

ไม่ใช่โดยวิธีเสริมแต่งบิดเบือน โดยที่ผู้กระทำก็รู้อยู่แก่ใจ
ทำนองเดียวกับคนที่ไปบนบานว่า ถ้าสำเร็จจะมาแก้ผ้ารำแก้บน หรือ จะถวายข้าวสาร
100 กระสอบ ครั้นถึงเวลาที่ต้องแก้บนจริงๆ ก็เอาผ้าผูกแขน แล้วแก้ออก รำเหยิบๆ สองทีเป็นอันจบ หรือ เอาข้าวสารมาใส่ถุงผ้าเล็กๆ 100 ถุง สมมุติเอาว่าเป็นข้าว 100 กระสอบ การทำโดยบิดเบือนเช่นนี้ไม่ได้มีผลทางโหราศาสตร์

ดังนั้น การไปจดทะเบียนหย่ากัน หรือยกลูกให้คนอื่นอย่างหลอกๆ จึงเป็นการเสียเวลาเปล่าๆ ส่วนการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงใบหน้า อาจจะมีผลทางจิตวิทยา และสังคม แต่ไม่เป็นผลทางโหราศาสตร์ เนื่องจาก ร่างกายคน เป็น “ผล” จากดวงชะตาแสดงออกมา ไม่ใช่เป็น “เหตุ” ไปลิขิตดวงชะตา

......ในกระทู้นี้
การเปลี่ยนชื่อ และนามสกุล ที่นิยมทำกันอยู่ อาจจะมีผลทางจิตวิทยาและความสบายใจ แต่ไม่ใช่หลักทางโหราศาสตร์

โดยเฉพาะการใช้ตัวอักษรวรรคต่างๆที่เชื่อว่า เดช ศรี มนตรี ดี แต่กาลกิณีไม่ดี เป็นเรื่องเข้าใจผิดซับซ้อนกันมานานมากแล้ว ดาวเดช ศรี มนตรี ในบางดวงให้โทษมาก กาลกิณีให้คุณมากมีถมไป นักโทษที่ถูกประหารมากมาย มี มนตรี+เดช+ศรี (แปลว่า ผู้พิพากษาศาลฎีกา) ให้โทษ ในหมวดหมู่ตัวอักษรที่แบ่งไว้นั้น เป็นการแบ่งตามฐานที่เกิดของเสียงอักขระ วรรณยุกต์และ ไวยากรณ์ตามหลักภาษาไทย ทางสงฆ์จึงนำมาใช้ตั้งหมวดหมู่ฉายาพระ ด้วยอักษรตั้งต้นในช่องนั้นตามวันเกิดเสมอกันทุกคน เพื่อลดละความยึดมั่นถือมั่นในยศศักดิ์ของผู้บวช ไม่ได้มีความหมายใดตามทักษา ต่อมาชาวบ้านจึงตั้งชื่อเอาตามอย่างบ้าง

จนกลายเป็นเชื่อมงคลตื่นข่าว เปลี่ยนชื่อกันวุ่นวายอย่างทุกวันนี้ เป็นความไม่เข้าใจทักษา สมัยโบราณโหรก็ไม่ได้ตั้งชื่อเด็กด้วยวิธีนี้ บางคนใช้อักษรวรรคกาลกิณีตั้งชื่อลูกหลานของตนเองด้วยซ้ำไป บุคคลสำคัญและมีความรู้โหราศาสตร์อย่างดีในประวัติศาสตร์ ก็ใช้อักษรตั้งชื่อในวรรคบริวารบ้าง วรรคอื่นๆบ้าง เพราะไม่ได้มีความสำคัญ

แต่ความหมายของ “ชื่อ และเสียงเรียกขาน” จริงๆต่างหากที่มีความหมายทางโหราศาสตร์

.....ส่วนการแต่งเติมเสริมแก้เลขทะเบียนรถบ้าง เลขที่บ้านบ้าง บัตรประชาชนบ้าง ใบขับขี่บ้าง
จนถึงเลขทุกอย่าง เช่นบนบัตรเครดิต เบอร์โทรศัพท์ ล้วนแต่มีผลเพียงเพิ่มรายได้ให้แก่หมอดู
เอามาใช้หากินโดยขาดความรู้ หรือจงใจ

ที่จริงแล้ว ตัวเลขนั้นมีความเกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์ลึกซึ้งกว่านี้มาก
เนื่องจาก ตัวเลขนั้น ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เป็น “ผล” จากดวงชะตาแสดงออกมา
ไม่ใช่เป็น “เหตุ” ที่ไปลิขิตดวงชะตา เราไม่อาจแก้จากผลไปบันดาลเหตุได้

ดังนั้นการสะเดาะเคราะห์ด้วยวัตถุสิ่งของ ด้วยตัวเลขจำนวนเท่านั้นเท่านี้ก็ไม่เป็นผลทางโหราศาสตร์ด้วย

.....การที่ปฏิเสธว่าอะไรไม่ใช่โหราศาสตร์นั้น เพื่อประโยชน์ในการศึกษาทางโหราศาสตร์เอง เพราะจะทำให้เราเข้าถึงหลักการจริงๆมากขึ้น แต่ไม่ได้ไปตัดสินว่าการกระทำต่างๆเป็นสิ่งที่ผิด

เนื่องจากบางครั้งเราก็ต้องการความสบายใจเพื่อเป็นกำลังใจในการสู้ชีวิตต่อไป
เช่น การเปลี่ยนชื่อ ไปผ่าตัดเปลี่ยนแปลงใบหน้า หรือ แม้แต่การสะเดาะเคราะห์ที่มีผลเพียงทำดี เพราะการที่คนมาทักเราว่าอะไรไม่ดีมากๆเข้า ก็ทำให้เราใจเสียได้

.....
โหราศาสตร์นั้นอิงกับข้อเท็จจริงในธรรมชาติ
ธรรมชาติมีความตรงไปตรงมา

การแก้ไขเหตุการณ์ใดๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนั้น จึงต้องใช้วิธีแก้ไข โดยความหมายสัญลักษณ์ที่ธรรมชาติแสดงออกมาเองเท่านั้น
อย่างเช่น การปล่อยนก ปล่อยปลา ฯลฯ


“อาทิตย์” เป็นสัญลักษณ์ของสัตว์ปีก เช่น นก และ ไก่
ส่วน “เสาร์” เป็นสัญลักษณ์ของ ปลา ปลาไหล งู และสัตว์เลื้อยคลาน

แต่ความหมายสำคัญที่ซ้อนทับกันมา คือ
อาทิตย์ หมายถึง ชีวิต และความรุ่มร้อน
เสาร์ คือ ทุกข์ทรมาน และอุปสรรค

ดังนั้น เมื่อ อาทิตย์ หรือเสาร์ เป็นพิษอยู่ในดวงชะตา การปลดปล่อยออกไป จึงเป็นสิ่งที่ถูกตามกระบวนการตีความหมายทางโหราศาสตร์ สัตว์อื่นๆก็เช่นกัน

.....
คำแนะนำให้อดอาหารและ ออกกำลังกายนั้น
......
เป็นความหมายซ้อนทับของ “อริ” และ “มรณะ” เป็นอริ และมรณะที่ส่งผลดีตามลำดับ เพื่อไม่ให้อริและมรณะที่ส่งผลร้ายมาแสดงก่อน

ขอให้สังเกตข้อเท็จจริงของธรรมชาติว่า เมื่อกินอาหารน้อย (อดอาหาร) และออกกำลังกายบ่อยๆ ( ป่วยโดยการกระทำ) ก็จะเจ็บป่วยไข้น้อยลง (เพราะแข็งแรงขึ้น) เราจะสังเกตได้ว่าหลังจากเล่นกีฬามาใหม่ๆ ร่างกายจะหอบเหนื่อยเมื่อยล้า หัวใจเต้นแรง คล้ายกับเจ็บป่วย แต่เราไม่ตกใจ.....การเดินทางท่องเที่ยว เป็นความหมายของ “สหัชชะ” และ “ศุภะ”และการย้ายที่นอน ที่อยู่ เป็นความหมายของ “มรณะ” และ “พันธุ”......ส่วน การบวชพระ ถือศีล บังคับตนให้อดงดเว้น เป็นความหมายของ “อริ” “มรณะ” และ “วินาสน์” นั่นเอง


เมื่อใด ดวงชะตาบ่งบอกจะเกิดเหตุการณ์ความเสียหายตามความหมายเรือนหรือดาว จึงแนะนำให้เลือกทำความหมายที่ไม่ส่งผลร้ายก่อน เมื่อได้บังเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว โอกาสที่จะเกิดเหตุตามความหมายที่ร้ายกว่าจะลดลงไป แต่ต้องทำจริงๆ ไม่ใช่หลอกธรรมชาติ และตัวเอง

.....
อย่างไรก็ตาม การทำตามข้อแนะนำดังกล่าวจะมีผลในแต่ละคน และแต่ละดวงชะตาไม่เท่ากัน แล้วแต่กำลังความแรงของเหตุการณ์ด้วย พึงคิดเสมอว่า ธรรมชาติมีทางเลือกมากหลายอย่างในการแสดงออก เมื่อแก้ทางหนึ่ง ก็อาจไปออกทางอื่น ท่านเปรียบเทียบว่า เหมือนทางน้ำเล็กๆ ลำพังดินกำมือเดียว ก็อุดกั้นอยู่ แต่ถ้าเป็นกระแสน้ำใหญ่ไหลเชี่ยวกราก แม้ถมดินทั้งเมืองลงไปขวาง น้ำนั้น ก็ย่อมหาทางเล็ดลอดออกไปจนได้ ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง

.........
ผมจำเป็นต้องกลับไปอยู่ต่างประเทศแล้วครับ ไปอยู่คนละซีกโลก ไปๆมาๆ ปีละครั้ง สองครั้ง ผมจะหายไปจากตรงนี้นับจากวันนี้ครับ ขอให้ทุกคนโชคดี

ไม่มีความคิดเห็น: