.....ครูโหรท่านเป็นชาวสวน “ไม้ค้อมมีลูกน้อม นวยงาม”
ความหมาย ก็คือ กิ่งไม้ที่ตรงสวยชี้ฟ้า ชูเด่น นั้น เพราะมันเบา ไม่มีลูกไม้
แต่ไม้ที่ค้อมลงต่ำ ยิ่งต่ำลงก็เพราะมันหนักด้วยผล ยิ่งมีผลงามมาก ยิ่งค้อมลงมาก ผลนั้นย่อมต้องคล้อยต่ำกว่ากิ่ง ลงเรี่ยติดดิน เปรียบเหมือนมนุษย์เราที่อวดชูเด่น ก็คือกิ่งไม้ที่ตรงชี้ฟ้า ไม่มีคุณค่าเท่าปราชญ์ผู้มีความรู้ล้ำค่า แต่อ่อนน้อมถ่อมตน สิ่งที่สูงสุดคือการกลับคืนลงสู่สามัญ กิ่งไม้ที่ตรงชี้อวดชูตนเองนั้น แม้เราจะแขวนลูกไม้ไว้ให้สักเท่าใด ก็ไม่สามารถรับได้เพราะไม่รู้จักน้อมลงรับคุณค่า ของลูกไม้ มีแต่จะหักโค่นลงเพียงต้องลมพายุฤดูเดียว
.....เรา ต้องเข้าใจก่อนว่า โหราศาสตร์นั้น เหมือนต้นไม้ที่มีหลายกิ่งก้านแหละกิ่งแขนงมากมาย ถ้าหยิบหนังสือขึ้นมาสักเล่มจะไม่รู้เลยว่าเรากำลังอยู่ที่แขนงไหน กิ่งไหน ดังนั้นบางคนที่อ่านหนังสือหลายเล่มก็จะเอามารวมกันไปโดยไม่รู้ตัว เวลาเป็นอาจารย์ใครก็สอนลูกศิษย์ไปทั้งอย่างงั้นแหละ
โหราศาสตร์ไทยเดิมแท้นั้น มีหลักแม่บทอยู่ที่เรื่อง “ธาตุ”
ต่อมามีคนเอาหลักโหรอื่น เช่นสากลบ้าง ฝรั่งบ้างอินเดียบ้าง จีนบ้าง มาผูกรวมกัน แล้วเรียกว่า โหราศาสตร์ไทยประยุกต์ มีตั้งแต่ประยุกต์น้อยๆ ไปจนถึงประ ยุกต์กันใหญ่ ดูไม่รู้ว่าเป็นไทยเผ่าไหน เมืองไหน
ได้ยินอาจารย์บางคน สอนลูกศิษย์ว่าได้มาจากเมืองบาบิโลนนั่นทีเดียว ทำให้พวกเราหาแก่นของเรื่องไม่เจอ การเรียนโหราศาสตร์ไทยจึงต้องพยายามเกาะไปตามกิ่งใหญ่ของโหราศาสตร์ระบบธาตุ ไม่ออกทางกิ่งแขนงจนเกินเลยไป เดี๋ยวจะพากันไปตกต้นไม้ ทั้งคนสอน คนเรียน ขาหักทั้งคู่
......ขั้นแรกเรื่องการผูกดวงชะตา
ให้ใช้ปฏิทินสุริยาตรชนิดมีองศาหรือไม่มีก็ได้
การวางลัคนา ให้ใช้เวลาท้องถิ่นที่เกิด โดยเอาเวลาเกิดตัดเวลานาฬิกาให้ถูกต้อง
เมื่อตัดเวลาแล้ว ให้ใช้อันโตนาทีสามัญคำนวนหาตำแหน่งองศาลัคนา
หรือหากใช้แผ่นหมุนก็หมุน เอาตำแหน่ง 6:00 น। ตั้งต้นหาลัคนา แล้วไปขั้นที่สอง
.......ขั้นที่สอง ให้ตรวจสอบลัคนา ที่โหรเรียกว่า “สอบลัคนา”
ซึ่งต้องตรวจสอบจากเรื่องส่วนตัวและเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อให้เชื่อได้ว่าลัคนาอยู่ที่ไหน
ลัคนาเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ ถึงไม่รู้ก็ต้องหา ไม่งั้นจะขาดความรู้จำนวนมาก
ใครไม่รู้วิธีวางลัคนา ก็ไปให้คนอื่นทำให้ก่อน
......มาถึงตรงนี้ต้องออกกิ่งแขนง เพราะจะเกิดปํญหาสงสัยมากมายในหมู่ผู้เรียน
ถ้าไม่พูดถึง ก็จะทำให้ลังเลจนเรียนต่อไม่รู้เรื่อง ปัญหาหลักจะมีอยู่ 2 ข้อใหญ่
(1।) .....เรื่องจักรราศี ปฏิทินสุริยาตรใช้จักรราศีแบบคงที่ หรือที่เรียกนิรายนะ
จริงๆแล้วเรียกผิด แต่โหรไทยขี้เกียจแก้ เพราะเรื่องใหญ่ๆยังมีอีกตั้งภูเขาเลากา
บางปฏิทินที่ใช้แบบสายนะมาตัดอายนางศะ ให้ปิดเก็บไว้ ปฏิทิน และตำราที่ใช้สายนะก็เก็บ เพราะใช้เรื่องธาตุจะเกิดช่องให้มีปัญหา
(2).....เรื่องตัดเวลา การผูกวางลัคนาตามที่บอกไว้ข้างบน คนหัวหมอจะเห็นว่าไม่ถูก เหตุที่ทำง่ายๆเช่นนั้นเพราะความสำคัญอยู่ที่ต้องสอบลัคนา ไม่ว่าจะคำนวณโดยเทคนิคอะไร แผ่นหมุนที่ใช้อันโตนาทีสารัมภ์ก็เก็บไว้ก่อน
นอกจากนั้นบางคนที่ชอบเข้าไปในเว็บที่มีการผูกดวงอัตโนมัติ ว่าผมผูกดวงเอง แล้วเอามาถาม ว่าช่วยดูหน่อยว่าผมผูกดวงผิดตรงไหน ก็ขอให้เลิกใช้ เพราะคุณไม่รู้ว่าเขาโปรแกรมคำนวนไว้อย่างไร ตัดเวลาอย่างใด
००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००
......หนังสือที่ใช้ จะใช้ของใครก็ตามใจ ดูที่มีเนื้อหาครบๆ ซื้อมาสักสองสามเล่มมาเทียบกันดู
แล้วก็ต้องปล่อยวางลงก่อน หันกลับมาตั้งใจใหม่ ไม่ว่าจะเรียนมาแล้วกี่ปีก็ตาม ลองทำตามนี้ จะไม่ผิดพลาด
***ขั้นแรก ลัคนาเป็น สิ่งสำคัญในการกำหนดเรือน
เรือนที่หนึ่ง ที่ลัคนาอยู่คือ ตนุ ถัดไปคือ กดุมภะ สหัชชะ พันธุ ปุตตะ อริ ปัตนิ มรณะ ศุภะ กัมมะ ลาภะ วินาสน์ รวม 12 เรือน
เมื่อเราใช้จักรราศีคงที่ ซึ่งเป็นหลักเดียวกับการวางระบบธาตุแล้ว จะเห็นว่า “ เรือนจะซ้อนทับกับราศี” พอดี ดังนั้น เวลานี้เรากำลังดูเห็นดวง 2 ชั้น คือ ดวงจักรราศี และ ดวงของเรือน เป็นดวงชะตาในตัวของเรา ดวงของเรือน ที่เกิดจากลัคนานี้ เรียกว่า ....”ดวงเรือนชะตา”
......ดวงเรือนชะตา มีแต่ตัวเรือนที่เป็นธาตุ ทั้ง 12 เรือนมี 12 เกษตรธาตุ
ตัวเลขดาวที่เราลงไว้จากปฏิทินมีอยู่ 10 ดวง คือ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ เรือนแบบไทย ที่เรียกเกษตร 2 เรือน
เราพอทราบว่า ตัวเลขแทนดาวใดเป็นเจ้าเรือนใด เช่น ลัคนา ราศีธนู ๕ เป็นเจ้าเรือนตนุ และพันธุ คงไม่ต้องสอนอีก แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่า เมื่อกำหนดว่า ตัวเลขใดเป็นเจ้าเรือนอะไรแล้ว ห้ามอ่านชื่อดาวเป็นอันขาด เพราะในเรือนชะตานี้ ตัวเลขทำหน้าที่ของเจ้าเรือน เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นดาวอะไร เช่น เราอ่านว่า “เจ้าเรือนพันธุ” ห้ามหลุดปากคำว่า “พฤหัส” ออกมา เพราะพฤหัสไม่เกี่ยว เช่น
เราอ่านเจ้าเรือนดังนี้ เจ้าเรือนตนุไปอยู่เรือนกัมมะ หรือสั้นๆว่า ตนุ - กัมมะ
ตนเองจะไปเกี่ยวข้องกับอาชีพการงาน แล้วตามเจ้าเรือนกัมมะที่ ตนุนั้นอยู่ไปอีก
เช่น กัมมะไปอยู่วินาสน์ อาชีพการงานที่ลับๆ คาดหมายยาก อ่านเช่นนี้โดยไม่อ่านดาว และต้องไปฝึกอ่านเอง ความหมายเรือนทั้งหลายในหนังสือก็พอใช้ได้ ใช้ไปก่อน เลือกเอาความหมายง่ายๆ พื้นฐานมาก่อน
อย่าไปเลือกที่หวือหวาแต่ผิดง่าย เช่น ลาภะ - น้องเมีย กัมมะ – พ่อตา อะไรแบบนั้น
เพราะเรายังไม่เข้าใจเรื่องนี้จริง ขอให้อ่านทุกเรือนเช่นนั้นไปให้หมด โดยไม่เอ่ยชื่อดาวเลย ดูดวงตัวเองก็ได้ จนจำฝังใจ
........เมื่อสามารถยึดหลักเรือนชะตาได้แล้ว ให้ปล่อยวางลง
ไปฝึกดูดวงจักรราศี ที่มีแต่ดวงดาว ถึงตอนนี้ ตัวเลขเหล่านั้นคือดาว หรือธาตุดาวเท่านั้น เจ้าเรือนไม่เกี่ยว
ให้อ่านแต่ดาว โดยคุณสมบัติดาว โดยไม่อ่านเจ้าเรือนเลย แต่ยังคงอ่านเรือนอยู่
เช่น อังคารอยู่ในเรือนกดุมภะ เจ้าชะตาขยันหาสมบัติ และในเมื่อไม่มีเจ้าเรือน ก็ไม่ต้องอ่านตามอะไรไปอีก
อ่านให้หมดทั้งดวง ทุกดวง เช่นนี้ เป็นอันจบวิชาโหราศาสตร์แล้ว
การอ่านเช่นนี้ยึดเป็นบันไดขั้นแรกไปจนตลอดชีวิตการเป็นโหร เหมือนตุ๊กตาล้มลุก แม้จะถูกผลักให้เอียงไปสักเท่าใด กี่ครั้งๆ ก็ยังกลับมาที่หลักเหมือนเดิม
००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००
***โหราศาสตร์ไทยมีแก่นเนื้อหาเพียงเท่านี้เท่านั้น
เคล็ดลับที่พวกเราแสวงหามีอยู่ข้างบนนี้แหละ ไม่ต้องตีความอะไรเลย ขอให้เชื่อเถอะ การที่พวกเราไม่เห็นเคล็ดลับ ก็เพราะเอาอะไรมาเทกลบมาทับมันจนมองไม่เห็น แล้วก็วิ่งไปเสาะแสวงหาตามที่ต่างๆ พอเขาไม่ให้ ก็คิดว่าหวงวิชา ดังนั้นภาระที่เรามีก็คือต้องเอาสิ่งกลบทับมันเอาเสียก่อน สิ่งแรกคือความลังเลสงสัยในใจเรานั่นแหละ
.....แล้ววิชาต่างๆที่มีอยู่มากมายมันคืออะไรเล่า
วิชาเหล่านั้น มันคือคำอธิบาย ว่าเราทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ตามที่อ่านเรือนอ่านดาว ทำไปทำไม มาจากไหน มันเหมือนกับเว็บไซท์ที่ผมเคยว่าไว้ ว่ามันเป็นที่มาจากเบสิกอิเลคทรอนิกส์ เรื่อยมาจน กลายมาเป็นเว็บที่เราดูอยู่เท่านั้น ถ้าเราไม่สนใจว่ามันมาได้อย่างไร โหราศาสตร์ก็จบลงเพียงเท่านี้
***ถึงตรงนี้ต้องกระโดดออกนอกทางไปอีกรอบ
หลายคนชอบติดเรียกคำว่า “ภพ” แทน “เรือน” ปนกันไป ผมไม่อยากขัดใจกับใคร เอาเป็นว่าให้ลืมคำว่า “ภพ” ไปก่อนหลังจากอ่านย่อหน้านี้จบ ก็เลิกพูดเลย แต่ต้องเคลียร์เรื่องภพไว้ก่อน
ดวงชะตาระบบเกษตรธาตุนี้ ใช้ “ราศีจักร” หมายความว่าใช้ราศีเพื่อกำหนดเรือน
แต่โหราศาสตร์ไทยประยุกต์จากจักรราศีสายนะ จะใช้เรือนชะตาที่เรียกว่า “ภวจักร” ใช้ “ภวะ หรือ ภพ” กำหนดเรือน ทำให้พวกเรากว่าครึ่งไปไหนไม่ถูก เพราะไม่รู้ตัว ว่าตัวเองยืนอยู่ตรงไหนในเส้นทางโหราศาสตร์ ขอให้เข้าใจว่า “ภวจักร” นั้นดี แต่ต้องรู้จักใช้จึงจะเดินได้ถูก แต่บางคนก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถือตำราภวจักรอยู่ เพราะเขาไม่ได้บอก จึงต้องให้เห็นพอสังเขป มิฉะนั้นก็จะมีคนถามจนได้ เรือนภวจักร กำหนดได้หลายแบบ แต่ที่นิยมใช้เป็นหลักมีอยู่ 3 แบบ คือ
(1)......กำหนดองศาลัคนาที่คำนวนได้ เป็นจุดกลางเรือนที่หนึ่ง ที่เรียกว่า “มัธยภพ” เส้นขอบเรือนก็จะบวกไป 15 องศาทั้งสองข้าง ดังนั้น เรือนถัดไป ก็จะบวกอีก 30 องศาเรื่อยไป จนครบ 12 เรือน
(2).......กำหนดองศาลัคนาที่คำนวณได้เป็นจุดเริ่มเรือนที่หนึ่ง เรือนที่สองก็บวก 30 องศาไปเรื่อยๆ
(3).......กำหนดปัจจัยอันใดอันหนึ่งเป็นจุดกลางเรือน แล้วแต่ว่าจะพิจารณาเรือนใด
.......ผู้ที่นำตำราบรรยายด้วยภวจักรมาใช้ ไม่อาจนำมาใช้กับระบบธาตุราศีจักรได้ครบ เพราะภวจักรใช้ดูดาวและปัจจัย แต่ดวงเรือนชะตาดูจากเกษตรธาตุ
การเหลื่อมราศีทำให้อ่านเจ้าเรือนสับสน แม้ภวจักรจะอ่านระบบเจ้าเรือนได้ในระดับประยุกต์ ก็ควรที่ผู้เรียนจะเข้าใจดวงชนิดนี้ให้ดีเสียก่อน มิฉะนั้นจะตกต้นไม้
००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००००
***เมื่อถึงตรงนี้ ขอให้ผู้คิดจะเรียนโหราศาสตร์ไทย ตั้งกฏของตัวเองไว้ดังต่อไปนี้
หนึ่ง.....ข้าจะอ่าน เรือนเกษตรและเจ้าเรือนเกษตร อ่านคุณสมบัติดาวและเรือนเกษตร เป็นหลัก สองอย่างนี้ให้มั่นคง
สอง......ไม่ยึดเรือนอื่นใดอีกนอกจากราศีจักร
สาม.... .มหาทักษา อ่านได้ ใช้ได้แต่ทักษาดวงเดิม ถ้าใช้แล้วความหมายข้างบนผลิกผันไป ให้ยกออกพับเก็บก่อน ทักษาจรให้ใส่เซฟไว้
สี่..........อ่าน เกษตร - มีเรื่อยๆ ประ - ไม่ค่อยมี อุจ - เด่นขึ้นมา นิจ - ด้อยลงไป เพียงสี่ตำแหน่งนี้เท่านั้น
ตำแหน่งมาตรฐานอื่นไม่ต้องอ่านให้พักเก็บเอาไว้
ห้า......จะยังไม่อ่านเรื่องธาตุใดๆ นอกจากข้อหนึ่ง ไม่อ่านองศา ไม่อ่านเกณท์อะไรทั้งหมด ไม่อ่านนวางค์ ตรียางค์ ไม่อ่านนักษัตร ไม่อ่านกาลโยค ให้พักเก็บเอาไว้ ในตู้เซฟ
หก......โหราศาสตร์อื่นใดนอกเหนือจากนี้ อยากอ่านก็อ่านได้ แต่ต้องปล่อยวางลง เขียนปิดไว้ว่า ตราบใดยังไม่เข้าใจโหราศาสตร์ไทยจริงๆ จะไม่ไปเปิดอ่าน
***เมื่อเรียนถึงตรงนี้ให้มั่นคงแล้ว ให้เตรียมตัวคอยเหตุการณ์ สองประการ
หนึ่ง.....คอยอาจารย์ ถ้าดวงคุณมีวาสนาอยู่ จะพบท่านเอง ไม่ต้องแสวงหาไปไกล
สอง....คอยอาจารย์ในตัวคุณเอง ไปส่องกระจกเงาดู มองให้ตรงๆ ผู้นั้นแหละคืออาจารย์
ถ้าคุณบ่มเพาะสติปัญญา รู้จักคิดหาเหตุผลโดยไม่ต้องรอโชควาสนา อาจารย์ผู้นี้จะมาเอง แล้วสิ่งต่างๆที่บอกให้คุณเก็บเอาไว้นั้น ให้งัดขึ้นมาอ่านได้ทั้งหมด
วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น