วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

บทบาทของดาว

เท่าที่เขียนมาในกระทู้นี้     เราจะเริ่มคุ้นกับหลักสำคัญประการหนึ่งคือ     ดาวจะอยู่ที่ใดแล้วจะดี  หรือ  ให้โทษ   ขึ้นอยู่กับความสำคัญว่ามันแสดงบทบาทอะไร    อยู่กับใคร     อย่างไร    เมื่อไร    และจะเกิดกับผู้ใด    ซึ่งได้เล่าถึงบทบาทหลายอย่างของดาวมาให้ทราบแล้ว

          คนที่ผ่านการพยากรณ์ดวงมากๆ    จะจับทางได้ว่า  ดวงชะตาจริงของคน  ไม่ค่อยสอดคล้องกับตำแหน่งมาตรฐานของดาว     เช่น  ดาวเป็นอุจ  ควรจะดัง   หรือ ได้ดี แต่กลับตกต่ำบ้าง    หรือดาวเป็นเกษตร   เป็นคนจน  ไม่มีจะกินบ้าง    ทั้งนี้เกิดจากการที่เราเข้าใจผิดในตำแหน่งมาตรฐานเหล่านี้     ถ้าเราใช้เหตุผลสักหน่อย    ยกตัวอย่างดาวเดินช้าเช่น  พฤหัส  เสาร์  ราหู  ก็ได้    เมื่อเป็นอุจ  หรือเกษตร  จะอยู่นาน  ถึงหนึ่งปี  หรือหลายปี    ระหว่างนี้มีผู้คนเกิดมากี่พันล้านคน    หากผูกดวงแล้ว ก็ต้องมี  อุจ  เกษตร   เหมือนๆกัน    ชะตาคนทุกคนจะดัง  หรือรวยเหมือนกันไปหมดเป็นไปไม่ได้     สิ่งที่มาขัดให้ชัดขึ้น   ก็คือ  เวลาเกิดที่แตกต่างกัน  ทำให้เกิดลัคนา  และเรือน    รวมทั้งดาวอื่นๆที่ยังโคจรอยู่โดยรอบ    ประกอบเป็นโครงสร้างแบบต่างๆที่แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

          โครงสร้างของดาวที่เกิดจากมุมดาวต่างๆเหล่านี้    มีความสำคัญมากกว่าตำแหน่งมาตรฐานของดาว   เวลาเราเป็นนักเรียนหัดใหม่ๆ  เรามักเอาดวงชะตามาเทียบกับดาวมาตรฐาน  เพื่อให้รู้ว่าดาวแต่ละดวง  มีมาตรฐานอะไร   แล้วก็ไปเปิดดูหนังสือ ตำราเพื่อหาความหมาย  แล้วก็ออกคำทำนาย    วิธีนั้นเป็นของมือหัดใหม่  ที่มองดาวเพียงดวงเดียว     

แต่จริงๆแล้ว  ดาวไม่เคยอยู่ดวงเดียว  และยังไม่เคยมีดาวอะไร เป็นอิสระเลย     ยิ่งรู้ลึกลงไป  เราจะยิ่งพบว่า   แม้แต่ดาวดวงใดที่กำลังทำปฏิกิริยากับ เรือน หรือดาว  คู่ใดคู่หนึ่ง   ดาวดวงอื่นก็ร่วมผสมโรงอยู่ด้วยเสมอ   หากเราอ่านรหัสเหล่านี้ออกได้    เราก็จะได้เป็นรายละเอียดที่สามารถขยายความเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างละเอียดยิบ   บางทีเราอาจจะพออ่านออกได้ว่า  ใครที่พะวงในตำแหน่งดาวมาตรฐานเหล่านี้อยู่   ยังไม่เข้าใจความเป็นจริง  และยังติดอยู่ใน “กับดัก”  ขั้นต้นๆ ของนักโหราศาสตร์อยู่

........ในเส้นทางของโหราศาสตร์อันยาวไกลนี้  เราต้องมีสมาธิในการเดินทาง    เพราะมักจะมีมารมาปลูกต้นไม้ดอกไม้  หอมๆ  และสวยงาม  ให้เราแวะหลงใหลอยู่เสมอ    หากเราตัดใจไปไม่ขาด    ในที่สุดก็จะเดินไปไม่ถึงจุดหมาย

           หลายคนเข้าใจว่า  ใครที่มีดาวมาตรฐาน  เช่นอุจ  เกษตรมากๆ   เป็นดวงที่ดี    และจะมีวาสนาดีนั้น    ควรเข้าใจเสียใหม่ว่า   ธรรมดาธรรมชาตินั้น จะจัดสมดุลย์ของตัวมันเอง  และเข้าสู่สมดุลย์อยู่เสมอ   ที่โหราศาสตร์แบ่งดาวออกเป็นบาปเคราะห์และศุภเคราะห์ก็เพราะเหตุนี้     

บาปเคราะห์และศุภเคราะห์ไม่ได้หมายถึงความเลว  และความดี  แต่หมายถึงความแข็งแกร่งและอ่อนโยน    โลกและชีวิตต้องการสองส่วนนี้ผสมกลมกลืนกันดี   จึงจะมีกำลังก้าวไปข้างหน้าได้    ร่างกายของคนเราก็มีส่วนที่แข็งแกร่ง   และอ่อนนิ่ม  อยู่ทั้งร่างกาย    

ลองคิดดูว่าหากมีแข็งอย่างเดียว   หรืออ่อนอย่างเดียวไปทั้งตัว  จะเกิดอะไรขึ้น        

อาหารที่เผ็ดอร่อย  ก็ต้องมีรสเค็มหวานกำลังดี   แต่ถ้ามากเกินไป  เค็มจนขม  หวานจนเอียน   อาหารนั้นจะไม่อร่อย    

มหาทักษาก็มีการหมุนเวียนของของธาตุศุภเคราะห์  และบาปเคราะห์สลับกัน    ดาวคู่สมพลที่ทำให้มีกำลัง  ก็เกิดจากการจับคู่ศุภเคราะห์และบาปเคราะห์  หากเราจะดูดวงชะตาของคนสำคัญในโลกหลายคน   จะเห็นว่ามีทั้งดาวทั้งบาปเคราะห์  ศุภเคราะห์แสดงผลในดวงชะตา  ต้องต่อสู้ฟันฝ่ากันมาแทบทั้งนั้น   จึงจะเป็นคนรวย  คนดัง  ระดับโลกได้

           ดาวมาตรฐานนั้น   หากยังไม่คิดโครงสร้างของดาวก่อน   การมีดาวเกษตร  อุจ  มากๆในดวงชะตา  เหมือนกับชีวิตที่อ่อนแอมาก    หรือแข็งมากเกินไป   มองจากสายตาที่เที่ยงตรงแล้วไม่ดี   คนที่มีเกษตรมากไป   อาจทำให้เฉื่อย   ทำหลายอย่าง   แต่ตัดสินใจทำอะไรไม่ได้สักอย่าง   จนไม่อาจประสบความสำเร็จได้   คนที่มีดาวอุจหลายดวงเกินไปก็มักมีอัตตาสูง  นิสัยเสีย  เสี่ยง และอาจขาดความรับผิดชอบ  ต่อผู้อื่น  มุ่งหวังความสำเร็จของตนเองอย่างเดียว   ใครจะตายบ้างก็ช่างปะไร   การที่มีดาวอุจซ้อนอุจ  เล็งอุจ   หรือดาวเกษตรเล็งเกษตร   อนุเกษตร    บางครั้งจึงไม่ได้ความว่าชะตาดี    

ในทำนองเดียวกัน  พวกดาวนิจประมากมาย  ก็ไม่ได้หมายถึงดี  หรือเลว    

หากเอาสิ่งปรากฏในสังคม  อาจจะมียศศักดิ์  ร่ำรวยสุงกว่าพวกอุจเกษตรเสียอีก    แต่อาจต้องต่อสู้ฟันฝ่ามามากหน่อย    และนิสัยใจคอนั้นไม่แน่ว่า  อาจเป็นคนขี้ขลาด  ขี้โกง  หรือกล้าหาญ  อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้   

คนที่มีความเสียสละจำนวนมากมักจะมีดาวนิจ ประในดวงชะตาเสมอ    

คนที่มีดาวดึงดูดทางเพศหลายๆดวงก็เช่นกัน    หากมีพอสมควร   ทำมุมดี   ก็ดึงดูดเพศตรงข้ามได้    แต่หากมีมากไป  อาจเป็นคนลักเพศ    กลับเป็นเพศตรงข้ามไปเสียเอง   หรือกลายเป็นคนวิตถารทางเพศไป    นี่เป็นเหตุให้เราต้องหันไปพิจารณาโครงสร้างของดาว  และเรือน โดยลัคนา  เป็นหลักทุกครั้ง    ไม่ใช่เปิดดูตรงกับตำแหน่งดาวสถิตแล้วทายเลย

           ในหนังสือหรือตำราต่างๆมักจะมีรูปแบบดาวพิเศษมากมาย   ตั้งชื่อกันแปลกๆ   บางตำแหน่งอาจเป็นเพียงมติของอาจารย์บางท่าน  บางสมัย   หรือเป็นบันทึกเตือนความจำเท่านั้น    นักเรียนบางคนก็รวบรวมเอาไว้มาก   เพราะคิดว่าเป็นไม้เด็ดเคล็ดลับ   ทั้งๆที่ไม่รู้วิธีใช้    

สังเกตว่าดาวบางดวง    หากรวบรวมมาแล้วอาจมีตำแหน่งมาตรฐานดีครบ  12  ราศี   อันที่จริงดาวเหล่านี้มีเงื่อนไขในการอยู่ในตำแหน่งนั้น    อาจต้องรอดาวจรบางดาว  หรือ   มีดาวอื่นๆประกอบ   และเงื่อนไขอื่นๆอีกมากในการพิจารณาดาว  ไม่ใช่การดูอย่างสำเร็จรูปดวงเดียว  แล้วใช้ได้เลย     

ซึ่งถ้าหากเรารู้หลักในการดูดาวจร  ดาวเดิม  หรือโครงสร้างดาว  ตลอดจนธาตุราศีแล้ว      ตำแหน่งมาตรฐานของดาวเหล่านี้  ก็ไม่จำเป็นเลย       เราเองก็อาจสร้างรูปแบบดาวมาตรฐานเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง     ดาวตำแหน่งพิเศษเหล่านี้ก็เหมือน  หนังสือเก็งข้อสอบ  ของเด็กๆ  ที่เพียงท่องจำคำตอบตามรูปแบบ  เพื่อจะเอาคะแนนเท่านั้น    แทนที่จะทำความเข้าใจในเหตุผลที่มา     ดังนั้นเพียงโจทย์ดัดแปลงเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย  ก็สอบตกแล้ว

ดวงราศีมีน ราหูจรทับ

เรียน อาจารย์ วรกุล ที่เคารพ
ถาม
ผมเองเป็นคนราศีมีน ครับ มีดาวกุมลัคน์หลายดวง ช่วงนี้ดาว 8 จรทับลัคน์ ชีวิตต่อจากนี้ไปจะมีอันตรายมากน้อยเพียงไรครับ

เรียนท่านอาจารย์โปรดวิเคราะห์ดวงผมให้ด้วยครับ

ผมเกิดวันที่ 13 เมษายน 2511 เวลา 05.29 น.(คืนวันที่ 12 ต่อ เช้าวันที่ 13 เมษายน 2511 ) ที่ จ.สงขลา ครับ

ขอบพระคุณครับ

ตอบ

ที่จริงตอนนี้มีกระทู้หลายแห่ง  หลายเว็บ   ตอบปัญหาดูดวงชะตาชีวิตอยู่    น่าจะไปถามทางนั้นนะครับ   หรือจะมีข้อสงสัยเรื่องราหู   จะเอาปัญหาไปถามที่อาจารย์ศุภกรก็ได้     โดยขอให้อธิบายเรื่อง  ราหูให้ด้วย    แต่ไหนๆก็มาทางนี้แล้ว     ต้องขอโดยรวบรัด   พอมีประเด็นให้คนอื่นได้เห็นบ้าง 

   ดวงชะตาคุณเกิดตอนสงกรานต์พอดี   ดาวต่างๆมีดังนี้   ๓  ๙  อยู่ในเมษ  /   ๑ ๔ ๖  ๗  ๘  ร่วมลัคนา ในราศีมีน เล็งกับ  ๒  ๐  ในกันย์  จันทร์เพ็ญวันนั้น  /   

๕ ดวงเดียวแยกไปอยู่ ราศีสิงห์เป็นอริแก่ลัคนา     การที่เราจะดูดวงชะตาจากดาวจร      ข้อสำคัญต้องดูเรื่องในดวงเดิมให้เข้าใจก่อน      

อ่านดวงแบบนี้ พวกเราก็ทำเป็นอยู่แล้ว    ชะตาชีวิตคุณมักต้องต่อสู้ฟันฝ่ากับอุปสรรค  เพราะริเริ่มและหวังความก้าวหน้า  ความสำเร็จในชีวิตและการงาน      

แต่เพราะความเข้มงวด  มีทิฏฐิ  ยืนยันในความเห็น  และเหตุผลของตัวเองมากเกินไป   จึงเป็นสาเหตุให้เกิดความขัดแย้ง  ล้มเหลว  ขาดความร่วมมือจาก  ผู้ร่วมงาน  และสังคมแวดล้อมรอบข้างอยู่บ่อยๆ   รวมทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับคุณ     

โชคยังดีที่มีสมบัติเงินทุนมาจุนเจือไม่ค่อยขาดแคลน   แต่ก็เพราะความประมาทขาดความระมัดระวัง  และบางครั้งก็คิดผิดตามอารมณ์ลืมตัวไป   จึงอาจสูญเสียเงินก้อนใหญ่   ไปกับความประมาทนั้น 

    ดาวอริ  มรณะ วินาสน์  ไปกุมลัคนาคุณหมดทั้งสามดวงเลย     และยังถึงเรือนกัมมะในราศีธนูด้วย  แบบนี้จะทำอะไรก็ต้องเหน็ดเหนื่อยล้มเหลวบ่อยมาก     

พันธุ  ปัตนิ  และ สหัชชะ  ลาภะ เข้าร่วม ลัคนา   ลองคุณมีใครๆมา เกี่ยวข้องชี้นำแบบนี้    แม้ต่างคนต่างคิดจะมาช่วย   แต่จะทำให้คุณไม่เป็นตัวของตัวเองเลย    กระอักกระอ่วนและอยู่ไม่เป็นสุข    เพราะนิสัยคุณก็ดื้อไม่เบา   แถมยังเป็นคนขี้ระแวง  ตัดสินใจด่วนได้  อยากทำอะไรตามใจตัวเอง   จากการฟังคนโน้นที  คนนี้ที  เสร็จแล้วก็เลยสรุปผิดๆ

      ราหู วินาสน์เดิมของคุณอยู่ราศีมีนอยู่แล้ว    ราหูจรมาอีกดวง  ก็ต้องพิจารณาว่า  เรื่องในดวงเดิมจะมีผลแรงขึ้น   

ดวงเดิม  คุณมีเสาร์เดิมเป็นคู่มิตรกุมลัคนา    ราหูจะเกรงใจมากขึ้น    แต่ก็มีพุธ  พันธุ – ปัตนิ เป็นคู่ศัตรูอยู่ด้วย    ต้องดูว่า  การที่จะประกอบอาชีพการงานอะไร   ที่เป็นการร่วมหุ้นส่วนลงทุน   

นอกจากนั้นหากมีปัญหา บ้านเช่า  ร้านค้า หรือที่ดินที่ทางครอบครัวมีอยู่  จะเกิดทวงคืน  เวนคืน ได้เงินมัดจำคืนมา   แต่ไม่ค่อยคุ้ม เวลาไปหาที่ใหม่จะโดนหนักกว่าเดิมอีก      แต่ก็อาจจะถูกหวย  ถูกรางวัลอะไรมาได้นิดหน่อย   

ราหูมาทับศุกร์   ศุกร์นั้นอยู่กับพุธ ธาตุน้ำด้วยกัน  เลยเป็นเรื่องสองเท่า  เพราะจะเกิดปัญหา ความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม    ก็จะเกิดขัดแย้งไม่เข้าใจกัน  เพราะคำพูดผิดหู   ปากโป้ง  พูดอะไรโพล่งๆ  หรือถูกฝ่ายหญิงรุกฆาตเข้ารวบรัดตีเข่า  ด้วยอยากจะให้จบเรื่อง   คุณก็อาจก็ใช้อารมณ์ตัดสัมพันธ์เลิกกันได้    

พวก  อาทิตย์  จันทร์  ราหูเดิมนั้น  ราหูมาอีกตัว จะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ  ตั้งแต่ร้อนใน    ถอนฟันกราม  คอเจ็บคอบวม    ปอดอักเสบ   ปวดลูกตา  คุณใส่แว่นอยู่แล้ว  ก็ต้องไปเพิ่มขนาดความหนาแว่น    จิตใจก็ไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัว   คิดมาก    กังวล   คิดฟุ้งซ่านคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้.......ระหว่างราหูอยู่มีนของคุณก็มีเท่านี้     ถ้าคุมใจได้หน่อยก็ไม่มีอะไร  เป็นไข้อะไรก็รักษาไป  พยายามคุมสติไว้........ช่วงเดือนเกิดของคุณทุกปีก็ระวังอุบัติเหตุรถยนต์  มอเตอร์ไซด์ไว้ด้วย

       บังเอิญดวงคุณราหูมา  แล้วมีเรื่องทั้งดี  และไม่ดีเยอะแยะ    แต่บางคนราหูให้คุณมากก็มี   เช่นรุ่นน้องคนหนึ่ง  เป็นนายตำรวจใหญ่      แกอยากให้ราหูมาทับ  มาเล็ง   มาถึง    เพราะมาที่ไร  ได้ สอง สามขั้น  เลื่อนตำแหน่งเป็นว่าเล่นทุกที   ราหูมาถึงลัคนาทีไร  โทรมาถามแล้วร้องไชโย  ไชโย     ชวนกันไปเลี้ยงฉลองอยู่หลายรอบ      มีอีกคนเป็นพ่อค้า  ก็คอยราหูอยู่เหมือนกัน   รวยไม่รู้เรื่องก็เพราะราหูนี่แหละ    ดวงใครดวงมัน   

ไม่ต้องไปไหว้ราหูหรอกเสียเวลาเปล่าๆ     ดีไม่ดีอาจจะไปเพิ่มฤทธิ์ให้ราหูเข้าไปอีก     ดังนั้น  เรานักโหราศาสตร์อย่าไปกลัวราหู     คนที่กลัวราหูเพราะฟังแต่เขาว่ามา      คนไหนติดแหงก  ซังกะตายอยู่นาน  หรือนักโทษติดคุก   ได้ราหูทับสักหน่อยจะหายเมื่อย  ลุกขึ้นเดินปร๋อเลย  เชื่อเถอะ   ดาวทุกดวงมีทั้งดีทั้งเสียเท่าๆกันทั้งนั้น   บางคนถึงคราวดาวจันทร์เสีย   ทับวันเดียวเอาถึงตายก็มีมาก

อ่านดาวให้แตก

คราวก่อน   เราได้รู้กลุ่มดาวที่มีผลต่อดวงชะตาที่เกิดจาก เหตุที่ต่างกัน  คือ  

กลุ่มดาวจตุโกณ  และตรีโกณ  ที่จะเป็นเรื่องที่เกิดจากเหตุคือ “สิ่งแวดล้อม”   และจะเกิดผลดี  หรือไม่ดี   ขึ้นอยู่กับลักษณะของดาวที่มาประกอบเป็นกลุ่มดาวนั้น     รูปดาวเช่นนี้มีผลต่อดวงชะตาโดยส่วนรวม       

ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งคือ    ดาวที่เข้ากระทำต่อ “จุดเจ้าชะตา”   เช่น  ลัคนา  ตนุลัคน์   อาทิตย์  จันทร์   ตนุเศษ  ทำให้เกิดเรื่องที่เกิดจากการตัดสินใจของเจ้าชะตาเอง   โดยมีดาวที่เข้ากระทบเป็นสิ่งเร้า  หรือปรุงแต่ง

       สิ่งหนึ่งที่เราควรสังเกตุได้จากกรณีตัวอย่างข้างต้นก็คือ      เหตุการณ์ทางโหราศาสตร์นั้น   เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ    และสาเหตุเหล่านั้น  ความจริงก็มาจากดาว  10  ดวง ซ้ำกัน    เกิดจากดาวเล่นอยู่หลายบทบาท     นี่เองเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขปัญหาของนักเรียนโหราศาสตร์      ที่มักจะงง    เวลาดูดาวแล้วไม่รู้จะทายอย่างไรดี    เพราะมักจะเอาดาวทุกบทบาทมารวมกัน   ในขณะที่เห็นอาจารย์  หรือคนที่เป็นแล้ว  ทำนายอยู่โครมๆ   แต่เขาไม่บอกว่าทำนายดังนั้นเพราะอะไร   แต่ก็ไม่แน่ว่า  คนที่ทำนายจ้ออยู่คล่องปากนั้น  ทำนายตามหลักอยู่หรือไม่     ผมเคยเห็นคนที่เรียนมาถึง  15  ปีแล้ว  ทำนายอย่างสับสนก็มี

        บางคนอาจจะตกใจ  เมื่อบอกให้ทราบว่า   ดาวหรือ ธาตุดาวดวงหนึ่งๆในดวงชะตานั้น   อาจทำงานอยู่ราว  สิบบทบาทในเวลาเดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน    น่าตกใจจริงๆ     อะไรมันจะมากมายขนาดนั้น   แล้วนี่ดาวตั้งสิบดวง  มันไม่ทำงานตั้งร้อย เรื่องเข้าไปหรือ    แต่นี่เป็นความจริงในทางโหราศาสตร์ไทย     ดาวแต่ละดวงที่อยู่ในดวงชะตานั้น  ไม่ได้อยู่นิ่งเฉยมีสถานะเดียวเหมือนที่เราคิด    ส่วนมากมักคิดว่า  ถ้าไม่มีอะไรมาสัมพันธ์ถึง  ก็ไม่ไปสนใจมัน   ความจริงดาวก็เหมือนมนุษย์ในแง่นี้    คือคนเราทุกคนอาจจะมีฐานะ  เป็น ลูก   เป็นพ่อ  เป็นแม่  เป็นเพื่อน   เป็นศัตรู   เป็นนักศึกษา  เป็นพนักงานบริษัท   เป็นสมาชิกสมาคม    เป็นประธานเชียร์    เป็นศูนย์หน้าฟุตบอล    เป็นหัวหน้าแผนก   เป็นเว็บมาสเตอร์คนดี   เป็นแฮ้กเก้อร์ตัวร้าย  ฯลฯ  ในตัวคนคนเดียวกัน    เป็น “ตำแหน่ง”  และ “หน้าที่”  หลายๆอย่าง  ที่เกิดจาก “ความสัมพันธ์แต่ละประเภท”  กับ “แต่ละกลุ่มคน  หรือสมาคม”

        วิธีสำคัญในการดู    คือให้เรา  เพ่งเล็งลงไปที่ดาวนั้น    แล้วดูว่ามันกำลังทำงานใน “บทบาทใด”  และ “ของอะไร”อยู่    

ถ้าไม่คิดว่าตัวเองเก่งจริง   อย่าเพิ่งเอาบทบาทมารวมกัน    แม้จะยืดยาวเยิ่นเยื้อไปบ้าง  แต่จะถูกต้องมากกว่าการรวม  แต่รวมไม่เป็น    

เช่น   ดาวที่มันเป็นจตุโกณ    กำลังทำหน้าที่อยู่ในกลุ่มดาวจตุโกณ     มันอาจกำลังแสดงบทบาทร้ายกาจ    สร้างแรงกดดันต่อลัคนาของดวงชะตา    ทำให้เจ้าชะตาอยู่ในภาวะคับขัน     แต่ขณะเดียวกัน  มันกำลังทำสัมพันธ์ดี  ต่อ  อาทิตย์    จันทร์   และจุดเจ้าชะตาอื่น   เช่นเป็นคู่มิตร   คู่สมพล    มันจะส่งผลทำให้ เจ้าชะตาไม่หมดกำลังใจ     แต่จะกลับต่อสู้กับเหตุการณ์ร้ายนั้น   อย่างมีไหวพริบ เอาตัวรอดออกมาจากสถานการณ์กดดันได้เป็นอย่างดี     

ตัวอย่างเช่นนี้เป็นเพียงแค่   2  บทบาท  ของดาวดวงเดียวกันนั้น   ซึ่งมีพฤติกรรมเป็นทั้ง  ผู้ร้าย   และ พระเอก  ในเวลาเดียวกัน   มันเป็นพระเอกหน้าหล่อ   ที่มาช่วยให้รอดจากผู้ร้ายหน้าเ-หี้-ย-ม   ก็คือตัวมันเองนั่นแหละ    แต่ดาวดวงหนึ่งอาจทำหน้าที่ได้ ถึง  สิบบทบาทขึ้นไป    เราก็ดูได้ไม่ยากเลย      ขอเพียงแต่เราศึกษาว่า  เมื่อดาวอยู่ในรูปแบบไหน  มันทำงานในบทบาทอะไร    เป็นผู้ร้าย  หรือ  พระเอก  ด้วยเงื่อนไขอะไร    เมื่อไร   เราก็ทำนายได้แล้ว.......

         บทบาทหน้าที่ของดาวนั้น  มีทั้งบทบาททางธาตุ   ทางเรือน  ทางราศี    ทางนวางค์  ตรียางค์   ฤกษ์   ทักษา  ดาวร่วมคู่     ดาวร่วมหมู่    บทบาทเมื่อดาวโคจรวิปริต   พักร์  มน  เสริด   บทบาทในเกณฑ์วงรอบชะตา  เช่น  ในเกณฑ์ชันษา   กาลจักรลัคน์จร   เป็นต้น   ซึ่งจะส่งผลไปสู่ดาวดวงอื่น     หรือรับเหตุจากดาวดวงอื่นส่งเข้ามาหามัน  นอกจากนั้น  มันยังมีบทบาทที่แสดงออกเบื้องหน้า   บทบาทหลังฉาก   เป็นบทผู้ตามดาวดวงอื่น  หรือเป็นผู้นำก็ได้    แต่ตัวอย่างข้างบน  เป็นเพียงบทบาทง่ายๆที่ยกมาให้เห็น  และเข้าใจได้ง่าย     หากใครจะคิดว่า   งั้นบอกมาให้หมด  จะได้จบกัน  ก็คิดผิด     เพราะบทบาทอื่นๆอีกมากมายของดาว  เป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน    ต้องทำความเข้าใจและศึกษาทั้งนั้น      บางอย่างต้องคิด  แล้วจะเห็น      ยากหน่อยตอนคิด  แต่เห็นแล้วจะง่าย   หากเราเรียนได้หมด  ก็นับว่าเรียนจบโหราศาสตร์ไทยภาคพยากรณ์แล้ว     ความรู้ ทางโหราศาสตร์จำนวนมากส่วนหนึ่งที่ไม่มีใครบอกใคร   ก็คือบทบาทเหล่านี้ของดาวนั่นเอง

        ดังนั้น  สูตรดาวสำเร็จรูปที่เรามักเห็นในหนังสือ  ว่าดาว  เช่น  ศุกร์  ราหู  จันทร์   เป็นต้นอยู่ราศีนั้น  ราศีนี้   เรือนนั้นเรือนนี้   จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้   จึงเป็นเรื่องที่ว่ากันง่ายๆ  ของคนที่แต่งตำราขาย     ที่อาจจะรู้บ้าง แต่ไม่ยอมบอกความจริง     หรือไม่รู้จริง    แต่ลอกเขามา   เท่านั้นเอง     

เพราะจริงๆแล้ว  ดาวจะอยู่ที่ใดแล้วจะดี  หรือ  ให้โทษ   ขึ้นอยู่กับความสำคัญว่ามันแสดงบทบาทอะไร    อยู่กับใคร     อย่างไร    เมื่อไร    และจะเกิดกับผู้ใด      ในดวงชะตาจริง    เหตุอาจจะเกิดกับผู้อื่น  เช่น   ลูกชายขับรถ  รถคว่ำบาดเจ็บ     แต่เจ้าชะตาอยู่กับบ้านไม่เป็นอะไรก็ได้      ต้องวิเคราะห์ให้ออก    ไม่ใช่ทายแต่ว่าดวงเสียทั้งปี     ทำให้ไม่กล้าทำอะไรตลอดเวลา     

การดูดวงชะตาให้ทราบชัดจริงจัง    ที่ไม่ใช่การศึกษาเฉพาะเรื่อง    จึงต้องดูดาวทั้งสิบดวง  ไม่ใช่ดูแค่ดวงสองดวง   แล้วเอามาวิพากษ์วิจารณ์สันนิษฐาน   หรือทายเปรี้ยงลงไป    อย่างที่บางกระทู้นิยมทำกัน     เพราะหากไม่ทราบดาวทั้งสิบดวง  เราก็ไม่ทราบบทบาทจำนวนมากของดาว     การวิพากษ์เรื่องราวในชีวิตจริงของเจ้าชะตา  เช่น  แต่งงาน  ไม่แต่งงาน    ทำไมรวย  หรือจน   ทำไมเก่ง  ไม่เก่ง  เป็นต้น  ก็จะทำไม่ได้    ถึงใครจะทายถูก  หรือทายผิด  ก็ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น

         ในวันนี้   นอกจากจะบอกว่า    ดาวนั้นมีบทบาทมากหลาย   มีทั้งทางดีและไม่ดีได้  ในเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกันแล้ว   ยังอยากชี้ให้เห็นว่า  ดาวทุกดวงต่าง สานสัมพันธ์กันอยู่อย่างซับซ้อนในดวงชะตาหนึ่งๆ   ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง   การที่ดาว หรือเรือนใดมีปฏิกริยา  ก็จะมีผลกระทบไปตลอดทั่วดวงชะตา    เกิดผลทั้งทางลึกและทางกว้าง อีกมาก

       ถ้าเราจับตาดู “อาจารย์”  บางท่าน  เอานิ้วจิ้มที่ดาวดวงเดียว    อ่านเรื่องได้สารพัด     ตลอดทั้งดวงชะตา   ตั้งแต่ต้นจนจบ   เขาก็ดูแบบนี้แหละ   แล้วแต่ใครรู้มากเท่าใด   เพราะหากมีใครถามลึกลงไป    ตอบไม่ได้  ก็เลี่ยงเสีย

ลัคนา

เล่าเรื่องพื้นฐานที่เริ่มจะเข้าใจยากมาหลายตอนแล้ว     ว่าจะเล่าต่อ   แต่มาพิจารณาจากคำถามของหลายคน  ยังอยู่ที่เริ่มต้นนับหนึ่งอยู่เลย    เช่น  การวางลัคนา   การเริ่มเรียนวิชาโหราศาสตร์   ดังนั้น   วันนี้  จะเล่าถึงความคิด   ที่เป็นพื้นฐานหลักโหราศาสตร์ไทยบางอย่างเรื่อง “การวางลัคนา”    ทั้งผู้อ่านระดับเริ่มเรียน  และระดับแก่วัดแล้ว  จะได้ไม่เสียเวลาอ่านทั้งสองกลุ่ม

         ความรู้เรื่องลัคนา   หากจะให้เข้าใจซึ้งจริงๆ    เราต้องเรียนโหราศาสตร์ให้จบก่อน  แล้วกลับมาเรียนลัคนากันใหม่   ดังนั้น  จะเขียนเฉพาะเรื่องที่ช่วยให้เข้าใจเบื้องต้นโดยสังเขปเท่านั้น   ลองดูว่า  ถ้าอธิบายเรื่องที่ง่ายที่สุดนี้  จะพอเข้าใจได้ไหม      มีคนเข้าใจเรื่องลัคนากันผิดมากจนแก้ไขอะไรยาก    

ลัคนา  นั้นจริงๆแล้ว  “คืออะไร”   หรือ “เป็นอะไร”   เป็นเรื่องที่อาจเข้าใจยากมาก    พูดสั้นๆไม่ได้   แต่จะง่ายกว่า  หากจะรู้ว่า  “ลัคนาอยู่ตรงไหน” 

......นักเรียนและนักโหราศาสตร์ส่วนใหญ่รู้วิธีวางลัคนากันอยู่ทั่วไปแล้ว   บ้างก็ใช้แผ่นหมุน   บ้างก็ใช้อันโตนาทีคำนวณจากเวลา   บ้างก็ใช้ตารางเวลาจากนักษัตร     แต่จะมีใครรู้หรือไม่ว่า ลัคนากำเนิดของคนเรา “ทางโหราศาสตร์” อยู่ตรงไหน

.......อ่านแล้วคงงง........แล้วมันไม่เหมือนกันหรือ

          ลัคนากำเนิดของเราทางโหราศาสตร์ “ไม่เหมือน”  ลัคนาที่ได้จากการคำนวณหรอกครับ   อ่านดีๆ  อย่าเพิ่งสับสนไป    ลองอ่านตามความคิด ไปก่อน    

ตอนคนเราเกิดมา   คุณรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่า   กว่าเราจะหลุดจากท้องแม่ได้  กินเวลา ตั้งแต่  5  นาทีจนถึง  ครึ่งชั่วโมงก็มี    บางคนโผล่หัวออกมาดุ้กดิ้ก   แต่ติดที่หัวไหล่   คุณหมอ หรือหมอตำแย  ต้องช่วยลากช่วยดึง  หรือเอา  ก้ามปูช่วยคีบหนีบหัวดึงออกมา  หรือ กรีดปากช่องคลอดเพิ่มเติม  กว่าจะหลุด  มินั้นหากไม่กลับหัวลง  ก็ต้องคลำจับท้องหมุนเด็กเอาหัวลง  หรือหากนานเกินควรก็ต้องผ่าออก  กินเวลาอาจถึง   ร่วมชั่วโมงก็ได้      ออกมาหายใจเองแล้ว  ก็ยังต้องตัดสายสะดืออีกนิดหน่อย  ใส่ยา  ล้างตัว  พามานอน   แล้วเวลาตกฟากที่  คุณแม่  คุณพ่อ  คุณยาย  นางพยาบาล  จดมาคือเวลาตรงไหน    ไม่นับที่คลอดกันตามบ้านนอกสมัยก่อนที่ไม่มีนาฬิกา  จะไม่พูดถึง      

พอได้เวลามาแล้ว  พวกเราก็หมุนแผ่นหมุนคำนวณหาลัคนากันยกใหญ่    ตกราศีใด  นวางค์  ตรียางค์อะไร  ก็ทายกันเป็นปืนกล   โดยไม่สนใจว่าตัวเลขมีที่มาจากไหน     หรือถ้าบังเอิญไปอยู่คาบราศี  ไม่รู้ว่าราศีไหน   ก็ไปคาดคั้นคุณแม่  จะเอาเวลาเกิดเป็นนาที  วินาทีให้ได้    โดยที่ไม่ฉุกใจคิดว่าวินาทีที่  โรงพยาบาลเขาจดมา  เป็นวินาทีตอนไหน    นาฬิกาโรงพยาบาลเดินช้า  หรือเดินเร็ว......นี่เรียกว่า ปัญหา “การจับเวลา  และ นาฬิกา” ครับ........รู้เอาไว้ก่อน

           ปัญหาต่อมา   สมมุติ  มีเทวดาท่านมาจับเวลาให้   ตัดสินใจโดยญาณหยั่งรู้ให้  ว่าคุณเกิดมาจริงๆตอนไหน   ไม่ว่าจะเอาหัวออกก่อน  ขาออกก่อน  หรือ  ออกมาเต็มตัว  ปลายนิ้วสะกิดพุงคุณแม่ครั้งสุดท้ายเมื่อเสี้ยววินาทีไหน   ได้เวลาเป็นทศนิยม  32  ตำแหน่ง    เอาไปให้นักโหราศาสตร์คอมพิวเตอร์  คำนวนวางลัคนา  ได้องศา  ลิปดา  ฟิลิปดา  ละเอียดเป็นทศนิยม  27  ตำแหน่ง   รู้ราศี  นวางค์ ตรียางค์  องศา  ฤกษ์  ชัดเจน   สมมุติลัคนา  ราศีเมษ ก็แล้วกัน    แต่พอไปดุดวงแล้ว   เรื่องราวอะไรก็ไม่แม่น    ครูโหรดูๆแล้ว  ไปวางลัคนาให้คุณอยู่ราศีมีน   แต่ทายคุณแม่นเป๊ะเลย    เป็นคุณคุณจะเชื่อฝ่ายไหน   ฝ่ายเทวดา  หรือ  ฝ่าย โหร.......นี่เรียกว่า  ปัญหา “การวางลัคนากำเนิดทางโหราศาสตร์"  ครับ......รู้เอาไว้อีก

          ปัญหาต่อไป    วันดีคืนดี  คุณเติบใหญ่   เรียนโหราศาสตร์มากขึ้นแล้ว    ยกเว้นความรู้เรื่องลัคนา   คุณดูดวงชะตาตัวเอง   วางลัคนาในราศีพฤษภ   แล้วแม่นเป๊ะเลย  ทายเหตุการณ์ถูก   แล้ว คุณจะเชื่อใครดี  ระหว่างเชื่อ   เทวดา  หรือครูโหร หรือเชื่ออาจารย์ คือตัวคุณเอง........นี่เรียกว่า ปัญหา “คุณสมบัติของลัคนา”  ครับ

          ลัคนา  นั้น  คือจุดโผล่ตรงท้องฟ้าทางทิศตะวันออกขณะที่มี  “เหตุการณ์” เกิดขึ้น   เมื่อธรรมชาติหนึ่งมี “การเกิด”    แล้วเราต้องการจะดู “การเกิด” ของดาราจักร  ที่อยู่บนจักรราศี ที่พร้อมกัน     เราก็ดูที่ท้องฟ้าตรงนั้นได้    แต่ตามจริงแล้ว  ขณะมีการเกิดในธรรมชาติ    มีลัคนาธรรมชาติสำคัญๆเกิดขึ้นอย่างมากมาย    ทั้งในจักรวาล  และ ธรณี     

แต่การที่เราเลือก ของ “การเกิดของท้องฟ้า”  ทางทิศตะวันออกมาดู  ก็เพื่อให้สอดคล้องกับ  การพิจารณาทางโหราศาสตร์ต่อไป      การเลือกการเกิดที่พร้อมกัน  ก็เพราะเราต้องการ  Mark ไว้ให้รู้ จุดเริ่มต้นที่จะอ่านเทียบกันระหว่างชีวิตกับธรรมชาติที่เอามาอ่านครับ     

จุดบนท้องฟ้านั้น  จึงเป็น “ตำแหน่งที่ลัคนาอยู่”   ไม่ใช่ ตัวลัคนา   เพราะคุณยังไม่รู้ว่าลัคนาคืออะไร   แล้วหากเหตุการณ์นั้น  เป็นการกำเนิดของทารก   คุณก็จะได้ตำแหน่ง ของลัคนา  “ขณะที่ทารกเกิด”  เท่านั้น   ไม่ใช่ตำแหน่งของลัคนา   “ขณะที่ชีวิตเกิด”

           ชีวิตเกิดมาเมื่อใด   เป็นคำถามที่ตอบยากเย็นยิ่ง    เราก็ทราบว่าชีวิตเริ่มปฏิสนธิ์ในครรภ์แม่  ราว 9  เดือน  แต่ไม่รู้วันเวลานาทีที่แน่นอน    แต่ร่างกายคนก็ต้องอาศัยเวลาเติบใหญ่ในท้องแม่กว่าจะมีอวัยวะต่างๆครบ   เราเริ่มหายใจเอง  ภายในเวลาไม่กี่วินาที  หลังพ้นจากท้องแม่ออกมา   เป็นการเกิดชีวิตตามกฎหมาย  และการรับรู้ของสังคม   เราจึงไม่อาจชี้ชัดได้ว่า  ชีวิตเราเกิดเมื่อใด    (บางท่านใช้วิธีผูกดวงชะตาย้อนหลังไป  9  เดือน   แต่ใช้วิธีนี้ไม่ได้ครับ   แต่ยังอธิบายยาวตรงนี้ไม่ได้)    

ดังนั้น   โหราศาสตร์จึงใช้เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดที่พอจะหาได้ในชีวิตของเรามาแทน  นั่นคือ ลัคนา  “เมื่อทารกกำเนิด”    ดวงชะตาที่เราใช้อยู่จึงเป็นดวงชะตาที่ทารกกำเนิด  ไม่ใช่ดวงชะตาของชีวิต    ซึ่งหาไม่ได้   ดวงชะตานี้เป็นดวงชะตาของเหตุการณ์หนึ่งในชีวิตเท่านั้น    เพียงแต่มีความสำคัญกว่าเหตุการณ์สำคัญอื่นๆของชีวิตอีกมากมาย

          ขอให้รู้หลักพื้นฐาน  ของวิชาโหราศาสตร์ไว้ประการหนึ่งก่อน   

ด้วยเหตุผลทางธาตุ   คือ  ลัคนาดวงชะตาของชีวิตนั้น  เกิดในชั่วขณะเวลาที่ชีวิตเกิด  หรือ ประมาณ 12 นาที  หรือ โลกหมุนหนึ่งนวางค์    

แต่ลัคนาดวงชะตาของเหตุการณ์   จะมีเวลาหน่วงได้ถึง  2  ชั่วโมงเศษ  หรือ หนึ่งองศาของจันทร์จร   โดยประมาณ  ซึ่งจะเป็นระยะทางการหมุนของโลก ราวหนึ่งราศี    ดังนั้น   การกำเนิดของทารก  จึงสามารถวางลัคนาได้ในช่วงกว้างได้ถึง  2  ชั่วโมงเศษ  หรือการหมุนของโลก หนึ่งราศี   เพราะเป็นชนิดของดวงเหตุการณ์    

โหราศาสตร์ทางธาตุของไทย  บีบระยะตำแหน่งลัคนาให้แคบลงได้  เหลือประมาณ ครึ่งราศี   เพราะเหตุผลทางธาตุดาว     

แต่ โหราศาสตร์จีนในยุคก่อนๆลงมาถึงปัจจุบัน    วางลัคนากำเนิดด้วย  “ยาม”  เวลาเกิด   2  ชั่วโมง  ที่เรียกว่า “ซี้”   โดยไม่ต้องจดเวลาชั่วโมงนาที เกิดเลย   แต่โหรจีนทำนายเหตุการณ์จรแม่นยำเหมือนจับวาง  ได้ละเอียด ลงไปถึง ครึ่งชั่วโมงได้     ก็ด้วยความรู้เรื่องธาตุของลัคนานี้

          การกำหนดระยะเวลาที่ลัคนาบังเกิดขึ้นได้  ไม่ได้หมายความว่าลัคนามีขนาดกว้างเท่านั้น    แต่หมายถึงลัคนาอาจบังเกิดได้เมื่อใดในช่วงเวลานั้นเมื่อ  “ธาตุ” ของลัคนา  ประจุสร้างขึ้นมาได้จนเต็ม       

ลัคนานั้นไม่ใช่จุด   ไม่ใช่ระยะ  ไม่มีขนาดที่แน่นอน   และยังแปรขนาดได้   เพราะเป็นนามธรรมทางธาตุชนิดหนึ่ง    ลัคนาในดวงชะตาเกิดจากอัตตาตัวตนและกรรมที่บังเกิดขึ้น    ซึ่งเป็นเหตุแห่งเรือนชะตา (คือ อัตนียา)          

คุณสมบัติของลัคนายังมีอีก  คือ  ลัคนานั้นเคลื่อนได้    ลัคนาเคลื่อนได้เพราะปัจจัยหลายอย่าง   เช่น   เคลื่อนเพราะสุริยาตร์    เพราะโลกหมุน   และสุดท้ายคือเพราะอัตตาเอง    

คุณสมบัตินี้  ก่อให้เกิดวิชาที่เกี่ยวกับวงรอบธรรมชาติขึ้นหลายอย่าง  ที่อาศัยการเคลื่อนที่ของลัคนา   เป็น  ลัคนาจร  หรือ  ปัจจัยจร   หรือ ชันษาจร  แบบต่างๆ   และยังมีปัจจัยอีก   2 – 3   อย่างที่เกี่ยวกับจักรวาล      เฉพาะที่เกี่ยวกับเรา  คือ  การเคลื่อนของลัคนา  ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์บางอย่างได้ตามลัคนาจร      ทำให้ผู้ที่ไม่รู้เกิดสงสัยตำแหน่งของลัคนากำเนิด

         ลัคนา  ทางโหราศาสตร์  กับ ดาราศาสตร์จึงไม่เหมือนกัน    เนื่องจากสมัยต่อมามีการใช้ข้อมูลดาราศาสตร์มาทำงาน      ทางโหราศาสตร์หลายระบบ   จึงนำเอาลัคนาดาราศาสตร์มาใช้แทน  “ลัคนาธาตุ” ทางโหราศาสตร์ของเดิม     เพราะระบบโหราศาสตร์ใหม่เหล่านั้น   ล้วนไม่ได้ใช้พื้นฐานทางธาตุ       

จีนเองอนุรักษ์ลัคนาทางธาตุไว้ได้    เพราะตัดเวลาละเอียดทิ้งไปแต่แรกได้แล้ว     

แต่ไทยเราบีบลัคนาให้แคบลง   และพยายามลงลึกรายละเอียดตำแหน่งของลัคนา    ด้วยเหตุผลทางนวางค์  และ ฤกษ์ที่จำเป็นต้องใช้ผูกดวงชะตาสำคัญๆ เช่น  ดวงพิไชยสงคราม   แต่ก็ยังถืออำนาจรับรู้ธาตุดาว ออกไปทั้งสองข้าง  รวมแล้วหนึ่งราศี  เท่ากับของจีน    

จึงมีผู้เข้าใจผิด  เอาลัคนาโหราศาสตร์ระบบอื่นๆ  มาตั้งเป็นลัคนาธาตุของโหราศาสตร์ไทย     ทั้งๆที่แท้ๆแล้ว  ไม่จำเป็นเลย

เหตุจากตัวเจ้าชะตา

ตอนที่แล้ว  เล่าถึงดวงเมืองกรุงเทพฯ  ที่โบราณผูกไว้ตามแบบฉบับดวงเมือง   คือเป็นดวงชะตาฤกษ์   และทำพิธีทั้งทาง พุทธศาสตร์  โหราศาสตร์  และไสยศาสตร์ นั้น     ไม่ได้มาชักจูงให้เชื่อตาม   แต่การศึกษาค้นคว้าวิชาโหราศาสตร์     เราต้องพยายามศึกษาถึงความคิด  และวิธีการของคนโบราณเสียก่อนว่าทำไปทำไม  มีเหตุผลอะไร     เมื่อรู้เหตุผลความคิดแล้ว    เราจึงสามารถเข้าไปศึกษา  หรือเปลี่ยนแปลงใดๆได้   ไม่ใช่เกี่ยวกับความเชื่อ  หรือ ไม่เชื่อ........นี่เป็นวิธีที่ถูกต้อง   และเป็นวิธีทางวิทยาศาสตร์    ที่เขาใช้กันในทางโบราณคดี

                สมัยก่อนการเรียนโหราศาสตร์   เวลาผูกดวงชะตา  หรือคำนวณพระคัมภีร์สุริยาตร์    ไม่ได้ใช้กระดาษ  แม้จะมีกระดาษใช้นานแล้ว    นักเรียนต้องเรียนด้วยกระดานชะนวน   เขียนด้วยดินสอชะนวน    

ทั้งนี้ก็เพราะว่าโบราณท่านถือว่าดวงชะตาเป็นครู    วิชาโหรก็เป็นครู    ตัวเลข  ตัวหนังสือก็เป็นครู   เขาจะไม่เดินข้ามหรือเหยียบย่ำ     หากเขียนในกระดาษก็ต้องฉีกทิ้ง   หรือเผาไฟ   ท่านไม่ทำเพราะถือ      หากจะเขียนเก็บไว้  ก็ต้องจารไว้ในแผ่นทองหรือ แผ่นเงิน   การเขียนในกระดานชะนวน  หรือกระดาน  ด้วยชอล์ค    เวลาลบ   ก็ลบด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆเท่านั้น 

             คนไทยหลายคนคงจะมีพระเครื่องแขวนคอ     เพื่อคุ้มครอง    เป็น พุทธานุสติ  หรือบางคนก็อาจสักยันต์เอาไว้เพื่อความอยู่ยง คงกระพัน หรือ  แคล้วคลาดปลอดภัย      

ทำนองเดียวกัน    ดวงเมืองนั้น   โบราณสร้างด้วยประโยชน์หลายอย่าง  อย่างหนึ่งคือเพื่อประโยชน์ในทางคุ้มกันศัตรูที่อาจมารุกราน   ดวงชะตาฤกษ์ที่ผูกโดยโหราศาสตร์นั้นเป็นตัวแทนของเมือง   หรือตัวเจ้าชะตา    พิธีกรรมทางพุทธศาสตร์   และไสยศาสตร์  ทำให้ดวงชะตาฤกษ์นั้น   เป็นเครื่องรางคุ้มภัยของเมืองด้วย   เหมือนเมืองมีพระเครื่องหรือสักยันตร์เอาไว้     เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อเป็นเรื่องของเรา    แต่การศึกษาความคิดของคนโบราณเช่นนี้จะทำให้เราเข้าใจถึงหลักวิชาโหราศาสตร์ดั้งเดิมได้ดีขึ้น    เมื่อดูจากวิธีผูกดวง  วางดาว  และวางฤกษ์

                ในดวงชะตาคน      ดวงกำเนิดทางธรรมชาติ  ก็มีลักษณะเช่นนั้นได้  หากธรรมชาติ  วางดาว  วางลัคนามา  เป็นโครงสร้างที่ดี  และมั่นคง    เหมือนบ้านหลังหนึ่ง   หากปลูกสร้างด้วย  ปูนไม้เหล็กที่เป็นโครงแข็งแรง   เมื่อถูกลมพายุ  ย่อมพังยากกว่าบ้านที่ปลูกสร้างอย่างเปราะบาง     

ในดวงชะตาบุคคล   กลุ่มดาวจตุโกณ  หรือที่โบราณเรียกว่า  เป็ น  1  4  7  และ   10  แก่ลัคนา  มีทั้งดีและไม่ดี     ไม่ดี  หากเป็นดาวที่ร่วมกันเป็นคู่ศัตรูที่ขัดแย้งกัน  ชีวิตมักแตกหัก  ล่มสลาย   ตกจากอำนาจ    แต่จะดี  หากดาวเป็นมิตรต่อกัน    เรียกว่า “ดวงแข็ง”    ซึ่งจะเป็นดวงที่มีความเข้มแข้งต่อการโจมตีของพายุ  “สิ่งแวดล้อม”     

แต่จะเป็นแบบใด  ขึ้นอยู่กับดาวและคุณสมบัติของดาว     
พวกดาวบาปเคราะห์จะให้ความอยู่ยงคงกระพัน   
ส่วนดาวศุภเคราะห์จะให้ความคุ้มครองแคล้วคลาด   ถึงจะมีดาวไม่ครบสี่ตำแหน่งก็ตาม    แม้มีเหตุร้ายก็ไม่ถึงวิบัติ   เช่น  ถูกศัตรูทำร้ายก็รอดได้     หรือติดเชื้อโรค   แล้วรักษาหาย    

ในขณะที่กลุ่มดาวตรีโกณ   หรือ  เป็น  1  5   9   
หากเป็นดาวไม่ดี   ก็อาจถูกซ้ำเติมเมื่อชะตาตกต่ำ  แต่ก็ยังมีส่วนดีอยู่     
เมื่อเป็นดาวกลุ่มให้คุณ    ก็จะให้ความช่วยเหลือ  เมื่อมีเหตุคับขัน    เช่น   เดือดร้อนเงินแล้วมีคนช่วย หรือถูกลอตเตอรี่    ตกยากลำบากจะมีคนชี้ทางให้    หรือแม้บาดเจ็บก็มีคนพบ  และนำส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงที      

ดังนั้น  โหรบางท่านเวลาดูดวงแล้วเห็นรูปดาวแบบนี้  ก็มักจะทายว่า  เมื่อถึงเวลาก็จะมีคนช่วยเอง   แม้ขณะนี้จะมืดแปดด้านก็ตาม

                รูปดาวแบบนี้  ถือเป็นดวงบารมี ขั้นต้นๆ  ที่เราควรทราบไว้    บารมีเกิดจากการทำกรรมดีมาก่อน   ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาเองฟรีๆ    เช่น หากเราหมั่นช่วยเหลือคนอื่น  ไม่เห็นแก่สิ่งตอบแทน   เมื่อถึงเวลาคับขัน  ก็จะมีคนมาช่วยเหลือเรา   

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร   เพราะเวลาเราช่วยคนอื่น  เท่ากับเราก่อโครงสร้าง “ความช่วยเหลือ”  ที่มองไม่เห็นในดวงชะตา  สะสมไว้กับชีวิตเรา     

เมื่อถึงเวลาที่เราต้องการความช่วยเหลือ  โครงสร้างนั้นก็จะหมุนมา   เป็นช่องดึงดูดให้ผู้คนอยากช่วยเหลือเรา     นี่คือ  กลไกกฎแห่งกรรม   ที่โหราศาสตร์รู้มานานแล้ว    หากโครงสร้างนี้ยังคงติดไปกับเราอยู่    ก็จะกลายเป็นบารมีให้เราในชาติหน้า   และเห็นได้ในดวงชะตา   เมื่อเวลาเราที่เราเกิดมา

เรามาลองดูเหตุผลในความมั่นคงที่เกิดจากรูปดาวแบบนี้ว่าเป็นเพราะอะไร   

ในดวงประเภทดาวเป็นจตุโกณ  ทำให้ดาวมีกำลังเข้าร่วมกับลัคนา    แต่โดยดาวแยกกันอยู่   
ดังนั้นเมื่อมีดาวเป็นโทษโคจร   เข้าโจมตีจุดใดจุดหนึ่ง      ดาวในตำแหน่งอื่นๆ ก็ยังคงดำรงคงอยู่ค้ำจุนไว้ได้     หรือแม้จะถูกโจมตีทุกจุดพร้อมกัน   แต่โอกาสที่จะรุนแรงพร้อมกันนั้นยาก   และดาวในตำแหน่งนี้จะมีปฏิกิริยาตอบโต้ดาวจรได้อย่างมีกำลัง    ทำให้เป็นผลเหมือนอยู่ยงคงกระพัน  และ  แคล้วคลาด

.......ส่วนดาวที่เป็นกลุ่มตรีโกณ  หรือ โยค  เป็นกลุ่มตรีโกณร่วมธาตุ    ดังนั้น  แม้มีเหตุโจมตี ธาตุจุดหนึ่งให้อ่อนลงไป   เหมือนไฟดับ    ดาวที่อยู่ในตรีโกณจะยังกระตุ้นธาตุให้แก่ดวงชะตาเป็นไฟสำรอง        แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของดาว  และลัคนาเอง

                ดังที่บอกแล้วว่า  ทั้งรูปดาวกลุ่มจตุโกณ  และตรีโกณ  เป็นการคุ้มกันจากเหตุที่เป็น “สิ่งแวดล้อม” นอกตัวเจ้าชะตา   

แต่จะมีเหตุที่ป้องกันไม่ได้   ซึ่งจะเกิดจากกรรม  และเจตนา  คือการกระทำของเจ้าชะตานั่นเอง    เหมือนคนแขวนพระหนังเหนียวเท่าไร  แต่ไปกระโดดตึกฆ่าตัวตายเสียเอง    พระเครื่องก็คุ้มกันไม่ได้

........เหตุประเภทนี้เรียกว่าเหตุจาก “ตัวเจ้าชะตา”    ซึ่งเกิดจากจุดเจ้าชะตาทั้งหลายถูกทำลาย   จุดเจ้าชะตา  เช่น  ลัคนา  ตนุลัคน์  ตนุเศษ   อาทิตย์  จันทร์  เป็นต้น  

หากพื้นดวงไม่เข้มแข็ง     เมื่อถูกดาวจรร้ายๆโจมตี  จะทำให้เจ้าชะตาตัดสินใจผิด   ควบคุมตนเองไม่ได้  หรือ  ขาดเหตุผล   เช่น    ฆ่าตัวตาย    ลาออกจากงาน    หรือ   เป็นโรคภัยที่เกิดจากอวัยวะภายในร่างกายเสียเอง  ไม่ใช่เชื้อโรคจากสิ่งแวดล้อม   

ดังนั้น  เมื่อมีดาวให้โทษ  เข้าโจมตีจุดเจ้าชะตา   ต้องพึงระวังที่ตัวเจ้าชะตาเองเป็นสาเหตุใหญ่  ไม่ใช่เหตุจากภายนอก     และโครงสร้างดาวบารมีก็ไม่คุ้มกันให้   หากโครงสร้างมาไม่ถึง

ราหูเข้าราศีมีน และดวงเมือง

                ช่วงที่ราหูยกเข้าราศีมีนใหม่ๆ     มีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์อย่างใหญ่โต   ว่าจะมีเรื่องต่างๆที่เลวร้ายเกิดขึ้นตลอดปีนี้    โดยเฉพาะช่วง 2 – 3 วันแรก   กลัวกันถึงกับไม่กล้าทำอะไร     อันที่จริงก็มีผู้รู้บางคนออกมาบอกว่าไม่เป็นอะไร   รวมถึง  พระสงฆ์องค์เจ้าหลายรูป   ท่านก็ออกมาเตือนว่าอย่าเชื่อเรื่องเหลวไหลไร้สาระที่หมอดูกุข่าวขึ้นมา     แต่คำเตือนหรือความเห็นทางที่ดีนั้นไม่เป็นข่าวใหญ่    ก็เพราะสื่อมวลชนอยากขายข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี     รวมทั้งหมอดูก็ชอบทายทางร้าย    เพราะเหตูการณ์ร้ายนั้น   ผลทางจิตวิทยา จะ ประทับใจคนมากกว่าข่าวดี    ทำให้รู้สึกว่าทายแม่น

                อันที่จริง   บ้านเมืองเราก็มีทั้งร้ายและดีมาแต่ละปีทุกปี   ไม่ว่าจะเป็นปี ชวด  ฉลู  ขาล  เถาะ  มะโรง มะเส็ง   หรือดาวอะไรยก  ก็ยกมาแล้วทุกดวง   ทุกราศี     หมอดูบางท่านก็ทายโดยยกเหตุผลประกอบได้ดีพอสมควร   แต่บางท่านก็โมเมตามเขาไป     ประชาชนนั้นไม่รู้อิโหน่อิเหน่    ที่เชื่อ  ไปกราบไหว้ราหูก็มีมาก    แต่ที่มีมากกว่าคือไม่เชื่อ   กับ เฉยๆ   นักเรียนโหรในเว็บต่างๆก็เห็นมีถามกันให้ขวักไขว่ไปหมดว่า    ราหูเข้าราศีมีนแล้วจะเป็นอย่างไร

                อยากให้ข้อคิดจากข่าวนี้อยู่สองสามอย่าง   แม้จะเสี่ยงจากคนมาด่าบ้างก็ต้องลองดู     เรื่องแรกคือการใช้ “ดวงเมืองกรุงเทพฯ”    มาทำนายบ้านเมืองทุกครั้ง    เกิดจากหมอดูชื่อดังหลายท่านเอามาใช้     ท่านอื่นๆ รวมทั้งนักเรียนโหรอย่างเราๆ  เห็นผู้ใหญ่ใช้  เราก็ใช้บ้าง   เพราะไม่รู้ว่าถูกหรือผิด    เรื่องนี้เคยมีการถกเถียงกันมามากแล้ว   สมัยสมาคมโหรยังเฟื่องอยู่    ว่า การนำเอาดวงเมืองมาใช้ทำนายบ้านเมืองในลักษณะนี้ไม่ค่อยถูก.......

ข้อแรก.....
วัตถุประสงค์ของการวางดวงเมือง  มีหลายอย่าง    
อย่างแรกคือความคงอยู่ถาวรของสถาบันหลัก    
อย่างที่สอง  คือความอยู่ถาวรของความเป็นชาติ รวมทั้งศาสนาด้วย   
อย่างที่สามจึงจะเป็นความคงอยู่ถาวรของเมือง   และยังมีอะไรแฝงลึกอยู่อีกมาก

                เพื่อให้บรรลุความประสงค์ที่กล่าวนี้    โหรโบราณท่านจึงนำทุกศาสตร์มาใช้  เพื่อสถาปนาดวงเมือง   ศาสตร์สำคัญที่ใช้   คือ  พุทธศาสตร์   โหราศาสตร์   และไสยศาสตร์     เราจะเข้าใจดวงเมืองได้ดี   ต้องวิเคราะห์ลงไปทั้งสามศาสตร์      

.....ซึ่งคงจะเอามาบอกทั้งหมดได้ยาก     แต่อยากจะเน้นในแง่ไสยศาสตร์   ที่ดวงเมืองนั้น  ไม่ใช่ดวงชะตาปกติ    แต่เป็นเหมือน   เลขยันตร์ของโบราณ   ที่แม้เราดูเสมือนเป็นดวงชะตาทางโหราศาสตร์ธรรมดา   แต่ดวงชะตานี้ผ่านการดำเนินการตามตำหรับโบราณมาแล้ว   กลายเป็นดวงพิเศษ  เรียกว่า “ดวงชะตาฤกษ์”

ดวงชะตานี้   ไม่ใด้ทำไว้รับปฏิกิริยาจากดาวจร เหมือนดวงชะตาทั่วไป  แต่ธาตุในดวงชะตามีความสัมพันธ์  รวมเป็นโครงสร้างทางธาตุไว้เป็นกลุ่มดาว    เป็นอุบายสำคัญในการสร้างดวงเมือง       

ดังนั้น  ที่พวกเรามาผูกดวงเมืองภายหลัง   แล้วมาเพิ่มดาวต่างๆที่คำนวณได้  เช่น  มฤตยู  เนปจูน  พลูโต  ต่างๆลงไปด้วยนั้น    ถูกเพียงในแง่การผูก “ดวงกำเนิดเหตุการณ์”    แต่ไม่ถูกในแง่โครงสร้างเดิมที่ปรากฏในดวงเมืองที่เป็น “ดวงชะตาฤกษ์”        

การนำดวงกำเนิดเหตุการณ์มาทำนายเป็นหลักแทนดวงชะตาฤกษ์  ที่จงใจสร้างขึ้น   มีผลอ่อน    โดยเฉพาะโครงสร้างของธาตุดาวในดวงเมือง    ถูกสร้างให้เป็นลักษณะเกื้อกูลสัมพันธ์กันแน่น     เหมือนเป็นวัตถุชิ้นหนึ่งชิ้นเดียว    โดยกรรมวิธีทางโหราศาสตร์และไสยศาสตร์ เหมือนกับการสร้าง “พระเครื่องราง”   ที่ประกอบจากผงมวลสารหลายชนิดมาผสมอัดแน่นรวมกัน     

ถึงตอนนี้   ธาตุดาวไม่ได้อยู่เป็นเอกเทศแต่ละดวง ให้พิจารณาแยกกันได้ว่า   ดาวจรจะไปทำปฏิกิริยาต่อมวลสารชนิดใด  เพียงชนิดเดียว     ดังนั้น  การพิจารณาผลของดาวจร  ต่อดาวในดวงเมืองที่สร้างอย่างถูกต้อง  จึงไม่ใช่พิจารณาง่ายๆเพียงจุดเดียว  หรือเรือนเดียว   หรือพิจารณาแบบดวงชะตาทั่วไป  แต่ต้องพิจารณาโดยอาศัยความรู้ชั้นสูง    กับดวงชะตาทั้งดวง   เหมือนพิจารณาดูวัตถุโบราณทั้งชิ้น

ข้อสอง.....
ดวงเมืองไม่ใช่ดวงชะตากำเนิดของเมือง   แต่เป็นดวงชะตาที่เกิดจาก “ฤกษ์”   

และโบราณก็ไม่ได้วางอาถรรพ์ให้ครอบคลุมทุกเรื่องของประเทศเหมือนอย่างดวงชะตาคน     แม้อยากจะวางเช่นนั้น   ก็ทำไม่ได้   เพราะระบบธาตุนั้นแตกต่างกัน     .แม้จะนำดวงเมืองมาใช้ทำนายเช่นดวงชะตาปกติ     ก็จะไปกำหนดให้ครอบคลุมบุคคล  หรือเรื่องราวทั่วๆไปในประเทศไม่ได้     

ดวงเมืองเป็นดวงพิเศษ    หากจะเกิดเรื่องไม่ดี   ดาวจรหลายดวง  จะต้องทำปฏิกิริยาต่อดวงทั้งดวง   และจะเกิดเป็นเรื่องใหญ่ๆ  ชนิดเสียเมือง   หรือความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงชนิดพลิกแผ่นดิน    ไม่ใช่เรื่องปลีกย่อยธรรมดา    

เช่น เมื่อตอนราหูยกเข้าราศีกันย์ คราวที่แล้ว    ก็มีผู้วิจารณ์ว่า  ราหูจรไปเล็งดาวศุกร์เดิม   จะทำให้คนวงการบันเทิง  อักษรย่อชื่อนั้น  ชื่อนี้จะตาย   พอมีดารานักร้องตายก็ว่าทายแม่น   ถึงอักษรไม่ตรง  ก็ว่านามสกุลมีอักษรนั้นอยู่   ชื่อ นามสกุลคน มีอักษรตั้งเยอะก็จะมีถูกเข้าบ้าง   และคนวงการบันเทิง  เสริมสวย  ศิลปะ ดารามีตั้งหลายแสนคน   คนที่ตายเป็นตัวประกอบก็มี   และยังทำอาชีพอื่นอยู่ด้วย     ปีที่ผ่านๆมา  ราหูไม่ได้ทับ เล็งศุกร์ ก็มีดาราตายเยอะกว่าเสียอีก   ตายเพราะประมาทขับรถเร็วก็มี   

ข้อสาม......
ชะตาเมือง  ไม่ได้มีเพียงดวงชะตาดวงใดดวงหนึ่งเป็นสิ่งเดียวที่เป็นตัวแทน   แต่ชะตาเมืองขึ้นอยู่กับหลายดวงชะตา  เช่น  ดวงผู้นำประเทศ และบุคคลสำคัญ   ดวงชะตาศูนย์รวมสำคัญทางศาสนา   และสถาบันอื่นๆ   เช่น  รัฐสภา  ทหาร   และวัฒนธรรม    

การดูดวงเมืองแล้วเอามาทำนายง่ายๆแบบนี้   ดูเหมือนใช้วิชาโหรง่ายเกินไป    เหมือนที่บางคนไปมองว่า  เสาหลักเมือง  คือ  ดวงชะตาเมือง  เป็นหลักของเมือง     การย้ายเมืองหลวง จะเป็นการสูญเสียชะตาเมือง    ถ้าเช่นนั้น สมัยโบราณ  ไม่ต้องยกทัพใหญ่ไปตีเมืองไหนให้เสียเวลา  แค่ส่งคนไปทำลายเสาหลักเมือง  ก็ยึดเมืองได้แล้ว

ข้อสุดท้าย......
ดวงเมืองเดิมเกิดขึ้นตอนราหูอยู่ในราศีมีน  เป็นวินาสน์ลัคนาที่ราศีเมษ    ถ้าราหูจรเข้ามีน  แล้วไม่ดี   ดวงเดิมก็ไม่ดีด้วย          

ถ้าจะดูแบบดวงธรรมดา   ก็ไม่น่าวิตก เมื่อราหูจรเข้าวินาสน์   แม้จะทับ พุธศุกร์  ก็เพียงแต่จะมีเรื่องวุ่นวายมากหน่อยเท่านั้น     

การพิจารณาราหูจร  โดยเลี่ยงไปคิดเอาดวงผู้นำประเทศมาเป็นหลัก   ก็เท่ากับบอกว่า   ดวงผู้นำสำคัญกว่าดวงเมือง    ถ้าเข่นนั้นจะเอาดวงเมืองมาพิจารณาเพื่อประโยชน์อะไร   หันไปดูดวงผู้นำประเทศน่าจะมีเหตุผลมากกว่า   และที่สำคัญที่สุดอยากจะถามว่า   รู้ได้อย่างไรว่า    ลัคนาดวงชะตาประเทศไทยอยู่ในราศีเมษ ??????  

ชะตาเมืองขึ้นอยู่กับพวกเรานี่แหละ    เลือกคนดีชะตาก็ดี  เลือกคนเลว บ้านเมืองก็ตกต่ำ   กรรมมีส่วนสำคัญในการกำหนดวิบากคือผลแห่งกรรม.....เหมือนกันทั้งนั้น  ไม่ว่าดวงเมือง  หรือดวงคน

ธาตุ

ขอแก้ไขหน่อยครับ    การเวียนขวาของทักษา  ภาษาหนังสือ เรียกว่า “ทักษิณาวรรค”   แต่ โหรชาวบ้านเรียกกันสั้นๆว่า “ทักษิณา”   เข้าใจตามนี้นะครับ  เดี๋ยวจะมีคนท้วงก่อน

          ตอนที่แล้ว  เราหยุดอยู่ที่ความพยายามในการเปรียบเทียบธรรมชาติหนึ่ง    กับธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง     นั่นคือ  การอ่านชะตาชีวิต  จากข้อมูลทางดาราศาสตร์  หรือ ดาราจักร       ผมได้เล่าไว้ในตอนที่แล้ว  แล้วว่า   เมื่อเราเทียบระหว่างจุดเกิด  และจุดดับที่ตรงกันในธรรมชาติหลายอย่าง      จะมีเหตุการณ์ความเป็นไปที่เหมือนกัน      เมื่อเราทราบความเป็นไปของธาตุ    ที่เป็นสื่อกลางความหมายที่ธรรมชาติสองอย่างสมนัยกัน   ก็จะเข้าใจชีวิตได้

          ชีวิตคืออะไร    ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร    แต่โหราศาสตร์โบราณรู้มาก่อนนานหลายพันปีแล้วว่า     ชีวิตไม่ใช่ธรรมชาติที่เป็นเอกเทศกระแสเดียวโดดๆ      แต่ชีวิตเป็นกระแสของธรรมชาติจำนวนมากที่เกี่ยวพันกัน    เหมือนเชือกที่ถูกฟั่นขึ้นจากเกลียวเชือกเล็กๆจำนวนมาก     แต่แม้จะมีความเกี่ยวพันกัน    กระแสธรรมเหล่านี้แต่ละอย่างก็มีความอิสระ   และจะก่อตัวขึ้นเป็นระบบย่อยๆของมันอีกมากมาย     ในรูปแบบที่แน่นอนคงตัวเป็นอัตโนมัติ      รูปแบบเหล่านั้นเป็นไปเองเหมือนถูกกำหนด ไว้แน่นอน        

“ธรรม”เหล่านี้  โหราศาสตร์เรียกว่า   “ธาตุ”     
ธาตุแต่ละระบบ   เรียกว่า  “ภพ”    
และระดับ  ของแต่ละภพ   เรียกว่า  “ภูมิ”     

ธาตุทั้งหลายจะมีตำแหน่งที่อยู่ในภพและภูมิตามเวลาที่แตกต่างกัน    และ อย่างที่บอกแล้วว่า  ธาตุในแต่ละธรรมชาติ    มีทั้งที่เป็นรูปธรรม  นามธรรม  และ สัจธรรม

           ธาตุจะเปลี่ยนสภาพไป  เมื่อมีการเปลี่ยนภพ     หรือพูดอีกอย่างได้ว่า   เมื่อเปลี่ยนภพ  จะเปลี่ยนสภาพ      ธาตุจะสามารถเปลี่ยนภพและภูมิได้    โดยปัจจัยหลายอย่าง  

โหราศาสตร์ทางธาตุใช้การเปลี่ยนภพภูมิของธาตุ มากำหนดในการอ่านเรื่องของเหตุการณ์     และเอาเหตุการณ์กลับไปอ่านการเปลี่ยนภพภูมิของธาตุ  เพื่อให้ทราบเหตุการณ์ที่จะเกิดตาม ต่อๆมาอีก 

..........หลักการของโหราศาสตร์ระบบธาตุก็มีอยู่เท่านี้     แต่มีรายละเอียดมากในการปฏิบัติ

            การจำแนกธาตุนั้นเป็นสิ่งสำคัญ    เพราะธาตุแต่ละภพ  หรือระบบ    แม้จะเป็นรูปธรรม  หรือนามธรรมที่เหมือนกัน    ก็มีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนกัน      เช่นโบราณถือว่าธาตุเกิดจากดวงอาทิตย์    เพราะอาทิตย์เป็นแหล่งของชีวิต      ดวงอาทิตย์ส่งพลังงานธาตุออกมา     แล้วกระจายออกแปรเปลี่ยนเป็นธาตุอื่นๆ     

ดวงอาทิตย์ทางดาราศาสตร์ ก็ถือเป็นธาตุ    แต่เมื่อเทียบ กับธาตุอาทิตย์ในระบบต่างๆก็ไม่เหมือนกัน     

ธาตุอาทิตย์ก็ เป็นเพียงธาตุชนิดหนึ่ง   ที่มีความแตกต่างกันอยู่ในแต่ระบบ หรือ ภพ      

ดังนั้น   ดวงอาทิตย์ในท้องฟ้า      ดาวอาทิตย์ในชะตาเดิม  และ  ชะตาจร     อาทิตย์ใน มหาทักษา   กับ   เกษตรอาทิตย์ในราศีจักร     ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน      เพียงแต่คล้ายกันทางปรัชญา    และจะแปรเปลี่ยนสภาพสู่กันได้ทางกลไกระบบธาตุ      

นอกจากนี้ธาตุยังอาจผสมกันได้   แตกตัวได้    หรือ  เกาะกลุ่มเรียงกันเป็นวัฏจักร  เช่น  มหาทักษา  ก็ได้

            ที่สำคัญที่สุด  คือกรรม และ การกระทำของมนุษย์  ทำให้ธาตุเปลี่ยน “ภพ” คือระบบ   และ “ภูมิ”  คือระดับได้     ทำให้เราอ่านเหตุการณ์ต่างๆในชะตาชีวิตเปลี่ยนไป   โดยที่กระแสธรรมชาติในดาราจักรยังคงเหมือนเดิม

            อย่างที่เคยเล่าให้ฟังถึงโหราศาสตร์ที่ใช้วิธีพิจารณา....วงรอบธรรมชาติ....มาแล้ว (เกณฑ์ชะตา)  ว่ามีวิธีพิจารณา เหตุการณ์ตามอายุในดวงชะตา   หรือดวงเดิม    

แต่เราจะสังเกตได้ว่า   หากใช้การพิจารณาสิ่งที่คงที่  เช่น  ใช้วัน  เดือน ปี เกิด  อย่างเดียว   จะได้รูปแบบที่ซ้ำกัน  เช่น  กรณีคนเกิดวันจันทร์  อังคาร ฯลฯ  

เมื่อเข้ามหาทักษาก็จะเหมือนกัน   หรือกรณีเลข  7  ตัวก็ตาม  แม้จะมีรูปแบบมากกว่า  แต่ก็ซ้ำกันจนได้     

ดังนั้น  โหราศาสตร์ไทยจึงไม่ได้ใช้เทคนิคเดียวในการพิจารณาเหตุการณ์    โดยทั่วไปจะพิจารณา “เกณฑ์”  ดวงเดิม     เพื่อให้ทราบเหตุการณ์ที่เกิดจากวงรอบวัน  เดือน  ปี  ก่อน   แล้วจึงใช้โหราศาสตร์ราศีจักรเข้าพิจารณาร่วมด้วย

            การพิจารณาอายุ  ที่จะเกิดเหตุการณ์  ในระบบธาตุยุ่งยากขึ้น  แต่เหตุการณ์จะชัดเจนขึ้น    

นระบบธาตุเองมีวิธีที่จะพิจารณาเรื่องนี้  แบ่งเป็นสองทาง   คือ    
ทางแรกใช้การตั้งต้นจาก “ธาตุเดิม”  ของดวงชะตา   แล้วคำนวณการแปรเปลี่ยนไปของธาตุ   ในอัตราที่แน่นอนอันหนึ่ง   โดยไม่ต้องดูความเป็นไปจริงๆของธาตุ  เช่น  สมมุติเรามีดวงชะตาเด็กคนหนึ่ง    เราสามารถดูชะตาชีวิตโดยลำดับของเขาได้    โดยการคำนวณเปลี่ยนแปลงของธาตุในดวงเดิมไป   ว่าอายุเท่าไร   ธาตุจะเกิดปฏิกิริยาอะไร     

ดังนั้น  วิธีนี้ จึงเป็นการพยากรณ์ล่วงหน้าในลักษณะ...อัตราคงที่    ความแม่นยำผิดถูกจึงอยู่ที่เกณฑ์ที่ใช้   และมักจะคลาดเคลื่อนเนื่องจากเวลาเกิด    และกรรมที่กระทำโดยเจ้าชะตา

     โหราศาสตร์ทางธาตุระบบนี้  คือ   ที่เราใช้กันทั่วไปส่วนใหญ่ในทุกวันนี้    ความคลาดเคลื่อนจึงอาจ ผิดได้เป็นปี    เช่นพยากรณ์ว่าเจ้าชะตาจะแต่งงานอายุ  30  ปี   อาจผิดพลาดได้  ถึง  2 - 3  ปี   เนื่องจาก  การกระทำของเจ้าชะตาเองมีส่วนผลักดันให้ผิดไป    แต่จะมีจุดเด่นที่สามารถบรรยายเรื่องราวเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ละเอียดกว่า  เช่น  วิชามหาจักร   วิชาพฤหัสจักร   วิชาตรีทิพย์    เป็นต้น  วิชาพวกนี้ใช้ธาตุในดวงเดิมเพียงอย่างเดียว

             โหราศาสตร์ทางธาตุแบบที่สอง     จะใช้วิธีคำนวณการแปรเปลี่ยนธาตุ  จากเหตุการณ์จริงร่วมด้วย   เช่น   พิจารณาว่าเจ้าชะตาจะร่ำรวย  เมื่อแต่งงานได้เป็นเวลา  3  ปีล่วงไป    หรือจะไปต่างประเทศ   เมื่อมีบุตรคนแรกแล้ว  7  ปี   

ดังนั้น  จะกำหนดรู้ว่าธาตุได้เริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว  เมื่อเจ้าชะตาเริ่มแต่งงานจริง   หรือ  เริ่มมีบุตรคนแรกจริงๆ   เป็นเงื่อนไข  ที่จะตั้งต้นนับเวลา  เพื่อพยากรณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดตามมา    
หากเหตุการณ์ต้นเหตุยังไม่เกิด   ก็จะยังไม่ทำนาย    หลักเช่นนี้ เป็นหลัก เหตุ และ ผล ในเรื่องจริงของชะตาชีวิตของคนแต่คนมากกว่า   เพราะกรรมจากการกระทำจริงของบุคคล   จะทำให้เรื่องราวในชะตาเดิมถูกเลือกขึ้นมาแสดงผลไม่เหมือนกัน    

ตัวอย่างง่ายๆ  จากกรณี  เมาแล้วขับรถ  เกิดเป็นอุบัติเหตุเสียชีวิต    ดังนั้นหากเจ้าชะตาไม่เมา   ก็จะไม่เกิดเงื่อนไขให้เสียชีวิตได้ในอายุนั้น

.......การรู้เหตุการณ์จริงของเจ้าชะตาจึงเป็นจุดสำคัญที่จะพยากรณ์ได้แม่นยำยิ่งขึ้น    โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาผลของดาวจร  ในขณะที่ธาตุในดวงเดิมแสดงผลชัด   โหราศาสตร์ทางธาตุกลุ่มนี้  เช่น  วิชาอสีติธาตุวิภังค์  วิชาสุริยโชติรัตน์  เป็นต้น

......ทำให้โหรเก่าๆเรียกชื่อย่อๆ วิชากลุ่มนี้ว่า  วิชา “กรรมใหม่”     และวิชากลุ่มที่ดูธาตุเดิมในย่อหน้าก่อนว่า  วิชา “กรรมเก่า”

ยังมีโหราศาสตร์ทางธาตุอยู่อีกหลายแบบ   ที่ไม่อาศัยธาตุดั้งเดิมจากดวงอาทิตย์    แต่ใช้ธาตุของดวงจันทร์ ที่ได้จากดวงอาทิตย์    โหราศาสตร์ในกลุ่มนี้มีอยู่มาก   ที่ถูกพัฒนามาหลายรูปแบบ   แต่ที่ยังคงรักษาการปรับเข้าราศีจักรได้ดี  คือ  วิชาวีสตรี (วีสะ – ตรี)   เป็นวิชาหวงแหนของนักโหราศาสตร์  ที่ศึกษาไสยศาสตร์    เพราะศึกษาธาตุท้องถิ่น  และกรรมต่างๆ  รวมทั้งอารมณ์ความรู้สึกอย่างเข้าใจดี     โหรที่เชี่ยวชาญวิชาคาถาอาคมสมัยโบราณ  มักจะรู้วิชานี้  แต่ต่อมา  กลับตกทอดในหมู่สตรีเพศเป็นส่วนใหญ่   นำมาใช้ป้องกันตัว  และสมบัติบ้านเรือน       

คนสมัยก่อน  ท่านใช้วิชาวีสตรีนี้แหละ   คู่กับไสยศาสตร์    เสกตุ๊กตาดินเหนียวให้เฝ้าบ้านและสวน    แม้จะทิ้งบ้านไปไหนนานนับเดือน   ก็ไม่มีศัตรูหรือขโมยหน้าไหน  หาทางเข้าบ้าน  หรือ หาบ้านเจอได้     หรือใช้ในการเอาสมบัติใส่ตุ่มฝังซ่อนไว้ในดิน    แม้จะฝังไว้ตื้นๆ  แต่ก็ไม่มีใครหาเจอ  หากไม่รู้วิธี  และ วันเวลาถอดรหัส        นี่เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นว่าโบราณท่านเข้าใจวิชาธาตุได้ลึกซึ้ง    รู้ว่าธาตุจะมีปฏิกิริยาอย่างไร และ เมื่อใด    จึงจะมีผลได้

ธรรมชาติ และระบบธาตุ

........การอธิบายเรื่องเกี่ยวกับโหราศาสตร์ในที่นี้มีข้อขัดข้องมาก คนที่อ่านอาจจะไม่เห็นอะไร เพราะมองจากมุมของตัวเอง 

ปัญหาคือ 

หนึ่ง........คือผู้อ่าน มีความรู้ทางโหราศาสตร์แตกต่างกัน บางคนก็เรียนมาจากหนังสือระบบอื่น ที่ไม่ใช่โหรไทยเดิม โดยที่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน 

สอง........คือผู้อ่าน มีภูมิความคิดแตกต่างกัน เลยไม่รู้จะอธิบายแบบกว้าง หรือ แบบลึก ถึงจะเข้าใจ 

สาม.......คือเครื่องมือ อินเตอร์เน็ทนี่ดี สะดวก อยู่กับบ้านว่างตอนไหนก็มาอ่านได้ แต่มีข้อไม่สะดวกสำหรับคนอธิบาย เพราะไม่ใช่กระดานดำ อยากเขียนอยากวาดอะไรให้ดู ซึ่งจะเข้าใจได้มากกว่า ก็ทำไม่ได้

สี่..........สมาชิกไม่แน่นอน ใครจะเข้า ใครจะออกก็ไม่รู้ คนมาใหม่ก็มาถามใหม่ เพราะแม้ย้อนกลับไปดูของเก่า แต่ก็ไม่มีใครถามไว้ ขืนไม่ถามก็ไม่เข้าใจ

........การศึกษาโหราศาสตร์นั้นมีปัญหาโดยตัวมันเอง พวกเราที่มาศึกษาโหราศาสตร์รู้เรื่องสังเกตไหมว่า เพื่อนๆของเราบางคนทำไมถึงไม่รู้เรื่อง

........พวกเราที่เรียนมาโดยวิชาสามัญ ถูกสอนจนเคยชินโดยความรู้ที่เป็นของสำเร็จรูป ไม่ต้องคิดเอง เหมือนกินบะหมี่ซอง และพวกเราส่วนใหญ่ถูกล้อคให้ติดกับอะไรที่เป็นสิ่งแน่นอน โดยเฉพาะโลกดิจิตอล ซึ่งข้อมูลตายตัวกว่า และกำลังมาแทนที่ อนาล็อกทั้งหมด ดังนั้น หลายๆคนจึงติดอยู่กับความเที่ยงตรงของตัวเลข เช่น การกำหนดองศาที่ชัดเจน เป็นทศนิยม 2 – 3 ตำแหน่ง การกำหนดขอบเขตุราศี ที่เป็นเส้นแบ่งชัดๆ ของไม้บันทัด และแนวเส้นตรงจากกล้องเซอร์เวย์ อยากให้การอ่านเรือน อ่านดาว มีสูตรที่แน่นอน เหมือนสูตรทางเคมี อยากจะรู้วัน เดือน ปี นาที วินาที ของนาฬิกา ที่จะเกิดเหตุการณ์ต่างๆและอยากเห็นการทำนายที่แม่นยำเผง อย่างที่เห็นดวงดาวจากล้องโทรทัศน์

........แต่โหราศาสตร์ไทยจะไม่มีสิ่งเหล่านี้ให้เราหรอก แม้โหราศาสตร์บางระบบจะมี สูตรสำเร็จให้คุณบวกลบคูณหาร พอได้ผลแล้วก็ไปเปิดดูคำทำนายเหมือนดิกชั่นเนอรี่ แต่แบบนั้นคุณก็จะพบว่า มีข้อจำกัด ไม่ลึกซึ้งมาก โหราศาสตร์ดั้งเดิมนั้นมาจากธรรมชาติ ที่เป็น อนาล็อก ต้องแปลความ และอาศัยความรู้ในการสังเคราะห์คำทำนายขึ้นมา ต้องใช้ไหวพริบปฏิภาณ ดังนั้นหากเราต้องการเข้าถึงภูมิความรู้ของคนโบราณ เราก็ต้องเข้าใจความเป็นไปในธรรมชาติที่คนโบราณเห็นมาเสียก่อน

.........หากเราแหงนหน้าดูท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ต่างก็โคจรไปรอบโลกทุกเมื่อเชื่อวัน บนท้องฟ้าอันว่างเปล่านั้น ไม่มีเส้นแบ่งราศี ไม่มีการแบ่งธาตุ 

คนโบราณเองต่างหากที่จำเป็นต้องไปกำหนดสิ่งสองอย่าง คือ
 
หนึ่ง......เส้นแบ่งราศี เพียงเพื่อให้รู้ว่าดาว มันโคจรไปจากที่ใด ถึงที่ใด และ 
สอง.......วันเวลา เพื่อให้รู้ความเร็วของการเคลื่อนที่ 

เมื่อกำหนดสองอย่างนี้แล้ว การศึกษาเรื่องดวงดาวจึงทำได้ชัดละเอียดขึ้น และการเป็นความรู้ต่อเนื่องไปอีกมากมาย 

คนโบราณใช้สองสิ่งนี้ เป็นเกณฑ์มาตรฐานมาแต่โบราณ เพื่อใช้ วางรากฐานวิชาโหราศาสตร์จากดวงดาว โหราศาสตร์นั้นไม่ใช่ดาราศาสตร์ 

เชื่อกันว่า คำว่า “โหรา ” ที่ไทยเราใช้อยู่ ก็คือ “ชั่วโมง” หรือ “เวลา ” ที่เป็นเกณฑ์ ธรรมชาติหนึ่งในสองนั่นเอง แต่ปัจจุบัน หลายคนที่เรียนดาราศาสตร์ กลับเอาความรู้เหล่านั้นมาเป็นมีดจ่อคอหอยโหราศาสตร์ให้เดินตาม กลายเป็นโหราศาสตร์ประยุกต์ต่างๆ แล้วเอาวิทยาศาสตร์มาจับโหราศาสตร์ดั้งเดิมเปรียบเทียบสิ่งที่สามารถชั่งตวงวัดให้เห็นได้ เหมือนจับคนแก่มาวิ่งแข่งกับเด็กหนุ่ม แทนที่จะเปรียบเทียบเชิงปัญญา 

โหราศาสตร์ดั้งเดิม จึงต้องหลบซ่อนตัวอยู่ แอบหันไปถ่ายทอดแก่คนในวงจำกัด และใกล้ชิด เพื่อรักษามรดกอันล้ำค่าไว้ให้แก่คนรุ่นหลัง..........ที่มีสติปัญญา

........บางคนอาจจะงง ข้อความในย่อหน้าที่แล้ว เพราะการกำหนดราศี และ เวลา ก็เป็นการกำหนด เหมือนเช่นดาราศาสตร์ทุกอย่าง แล้วโหราศาสตร์มีมรดกอะไรมาให้คนรุ่นหลังหรือ ของสองสิ่ง ที่ซ่อนอยู่ในโหราศาสตร์โบราณ และไม่มีใครเปิดเผยทั่วไป 

คือ “ ตำแหน่ง” และ “เวลา” นี่เอง 

หรือที่เรารู้กันทางฟิสิกส์หมายถึง space and time กาล – อวกาศ ราศี และ เวลา 

ทางดาราศาสตร์ เป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้สังเกตการณ์ธรรมชาติของดวงดาว แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ “ความเป็นอยู่ของธาตุ” ซึ่งเป็นสิ่งที่ซ้อนทับอยู่กับ ดาราศาสตร์ 

เพราะธาตุนี่เองเป็นตัวเชื่อมความหมายระหว่างธรรมชาติหลายแบบเข้าด้วยกัน เมื่อเราต้องการเรียนรู้ธรรมชาติอย่างหนึ่ง โดยอาศัยการศึกษาดูธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง 

เราต้องเข้าใจเรื่อง “ธาตุ” เมื่อเข้าใจแล้ว เราจะแปลความหมายจากธรรมชาติออกมาได้ สเกลสองอย่างของธาตุ คือ เวลา และ ตำแหน่ง ไม่เหมือนดาราศาสตร์ เพราะ มันเป็นส่วนที่อยู่ระหว่างธรรมชาติสองอันที่แตกต่าง

..........คุณลองเขียนวงกลม สองวง ลงบนกระดาษ ห่างกันสักคืบหนึ่ง 
วงหนึ่ง.......คือข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ 
อีกวงหนึ่ง........คือชะตาชีวิตของคุณเอง 

ระหว่างวงกลมทั้งสองนี้ คุณเขียนวงกลมวงเล็ก ลงไปอีกสักสิบวง อนุญาตให้ซ้อนกันบางส่วนของวงได้ วงกลมต่างๆที่อยู่ระหว่าง ดาราศาสตร์กับชีวิตนี้เอง คือ ระบบของธาตุ ซึ่งเป็นกลไกที่ธรรมชาติส่งผ่าน ( transit ) ความหมาย ทางดาราศาสตร์ กับ ชะตาชีวิต 

แต่ละวงกลม เป็นระบบย่อยหนึ่งๆ บางวงเป็นรูปธรรม บางวงเป็นนามธรรม และบางวงเป็นสัจธรรม หากเราเรียนเรื่องธาตุ เราต้องเรียนระบบทางธาตุเหล่านี้ทั้งหมด 

ธาตุเหล่านี้ โบราณพบว่ามันแปรเปลี่ยนไปมาระหว่างกันหลายระดับ และแต่ละระบบ มีฐานอ้างอิง เวลา และ ตำแหน่ง ของมันเอง 

ดังนั้น หากเราเริ่มอ่านระบบทางธาตุ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ องศา ราศี และ เวลา ทางดาราศาสตร์เป็นเกณฑ์วัดอีก แต่จะเริ่มอ่านโดยอาศัย เวลา - ตำแหน่ง ของระบบธาตุที่ส่งผ่านกัน ล้วนๆ ซึ่งในแต่ละระดับจะไม่เหมือนกัน............

..........ระบบย่อยของธาตุเหล่านี้ เป็นที่มาของหลักพยากรณ์ และ คัมภีร์คำทำนายจำนวนมาก ในวิชาโหราศาสตร์ไทย

................(ยังมีต่อ).............................

การเรียงธาตุของไทยและจีน

.........วิชาทางโหราศาสตร์  และ ไสยศาสตร์ของจีน     มีการเรียงธาตุไม่เหมือนมหาทักษาของไทย    ข้อแตกต่างใหญ่ๆ  มี  สอง   ประการ

.......หนึ่ง......
ทักษาของไทย  ที่เรียกว่า  ทักษาคู่ธาตุ   หรือ “มหาทักษา”  กระแสธาตุมีการโคจรเวียนขวา   หรือ  “ทักษิณา”   ( คือ   เคลื่อนที่ไปเป็นวงรอบ  โดยหันมือขวา เข้าด้านในตรงกลาง )      แล้วไปหยุดสถิตอยู่ตามทิศที่เป็นแหล่งธาตุแต่ละชนิด    รวม  8  ทิศ     การโคจรของมันเวียนเป็นวงจรวัฏจักร

........ มหาทักษา   ไม่มีอะไรที่จุดศูนย์กลางหรือตากลาง    วงจรทักษาเป็นแนวเชิงเส้น     เหมือนเส้นเชือกที่วกกลับมาบรรจบเป็นวงกลมเท่านั้น       

ต่างจาก  ธาตุของจีน   ที่มีกระแสธาตุ  เข้า  และ  ออก   จากจุดศูนย์กลาง   ตามแนวรัศมี  ทั้งแปดทิศ    และทิศบน     ทิศล่าง  อีก  รวมเป็น  10  ทิศ       ดังนั้น  แม้การกำหนดทิศของธาตุ   จะคล้ายกัน   เมื่อมองจากจุดศูนย์กลาง      แต่การโคจรของธาตุจะไม่เหมือนกัน

.......สอง.......
มหาทักษาของไทยนั้น    ธาตุต่างๆเป็นธาตุที่แตกตัวไปจากอาทิตย์      แล้วส่งผ่านมายังโลก    โดยโลกหมุนเข้าไปรับธาตุเหล่านั้น  เข้ามาสะสมอยู่ในตัวเอง   

โบราณจึงถือว่าเป็นธาตุใน  “ธรณี”     

อาทิตย์ในโหราศาสตร์ไทย     เป็นแหล่งของพลังงานชีวิตและธาตุของ  “จักรวาล”  ทั้งหมดด้วย    ดังนั้นอาทิตย์จึงเป็นประธาน   ในจักรวาล      

ดาวอื่นๆถือว่าเป็นบริวารที่จะต้องรับธาตุจากอาทิตย์

...........ต่างจากระบบธาตุของจีนที่ถือว่าอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงาน  และธาตุ ก็จริง      
แต่เป็นการเผาผลาญเรื่อยไป     แต่ดาวพฤหัส  เป็นผู้รับพลังงานชีวิตและธาตุเหล่านั้นมาสะสมไว้   แล้วเป็นผู้แจกจ่ายให้แก่บริวารทั้งหลาย      

จีนจึงถือ  พฤหัส  เป็นประธาน   และเป็นจุดเจ้าชะตาสำคัญกว่าอาทิตย์       

เหตุที่เป็นเช่นนี้  เพราะโหราศาสตร์  และไสยศาสตร์จีน   ใช้ระบบดาวฤกษ์ร่วมด้วย    ดังนั้น  พฤหัสจึงเป็นผู้รับธาตุจากดาวฤกษ์อื่นมาให้แก่บริวาร อีกเช่นกัน จึงมีอำนาจมากกว่าดาวอื่นๆ      

ด้วยเหตุนี้   จีน  จึงมักสมมุติ  พฤหัส  เป็นประธานแห่งเทพ  คือ  เง็กเซียนฮ่องเต้    
ในขณะที่  อาทิตย์  และดาวฤกษ์อื่น   เป็นเพียงจักรพรรดิ์  หรือ  กษัตริย์เท่านั้น

..........โหราศาสตร์จีนที่ใช้  “พฤหัสจักร”  จึงถือว่ามีวงรอบอิทธิพลสูงกว่า   “สุริยจักร”  หรือที่ไทยเราเรียกว่า   “ราศีจักร”  นั่นเอง     

แผนภูมิธาตุของจีน  ที่คุณเห็นเขียนเลข   5  ไว้ตรงกลาง   จึงน่าจะหมายถึงการกระจายธาตุจากพลังของพฤหัส    ไม่ใช่อาทิตย์     แต่ผมก็อาจจะเข้าใจผิดได้

.........โหราจารย์ของไทยเรา   ก็ทราบเรื่อง พฤหัส  เป็นอย่างดี      

ใน  วิชาพฤหัสจักร  ของไทย  ก็ถือพฤหัส  เป็นดาวประธานที่สำคัญ     

 เป็นเคล็ดที่รู้ดีในหมู่โหรไทยอยู่แล้วว่า   ธรรมดาดาวจร  ที่จะเกิดเหตุการณ์ นั้น    จำเป็นต้องได้รับ  แสง  คือ  กระแสธาตุ  และพลัง  จากอาทิตย์ก่อนทุกดวง     

ยกเว้นแต่  พฤหัส  เพียงดวงเดียวไม่จำเป็น    เพราะพฤหัสมีพลังอยู่ในตัวเอง       

ในนิทานโหราศาสตร์   จึงเปรียบเทียบ  พฤหัส  เป็นอาจารย์ ฤาษี    
ส่วนอาทิตย์เป็นลูกศิษย์   ก็เพราะเหตุนี้แหละ     

แต่โดยเหตุที่พฤหัสมีพลังธาตุจากดาวฤกษ์ร่วมด้วย     ความรู้จึงมากกว่าลูกศิษย์คืออาทิตย์       แต่ศิษย์ที่รู้มากมักทรนงตัวว่าเก่งกว่าอาจารย์    เพราะมีแสงแสบตากว่า     เผลอๆมักคิดล้างครู   ครูก็เลยต้องเก็บความรู้บางส่วนเอาไว้   ไม่สอนจนหมด

.........ประโยคนี้ไม่ได้พูดเล่น   แต่เป็น “ความรู้” ทางโหราศาสตร์ไทย      ไปแปลเอาเองเถอะ

...........เห็นบ่อยๆว่า    ในเมืองไทย    มีอาจารย์ฮวงจุ้ยบางท่าน    สอนวิชาฮวงจุ้ย    แต่ท่านเอาแผนภูมิ มหาทักษาของไทยไปกำหนดทิศโคจรธาตุ     มีทิศศรี  และกาลีเสียด้วย   บอกว่าเป็นโหราศาสตร์ไทย ประยุกต์กับจีน       ไม่มีใครทราบว่าผิดหรือถูก     

ที่น่าทึ่งคือท่านใช้  เนปจูน  และ  พลูโต  เป็นเกษตรราศี     หากใช้ทำนายยังพอฟังได้      แต่ทราบว่าท่านใช้เนปจูน  และพลูโตร่วม ธาตุ ในมหาทักษาด้วย         นึกไม่ออกว่าเอาไปใช้อย่างไร

.........เหตุนี้แหละ    ครูโหรท่านจึงเก็บความลับใน มหาทักษา    ให้ยังคงเป็นความลับตลอดไป     เพื่ออนุรักษ์ความรู้ดั้งเดิมเอาไว้    และมอบให้เฉพาะแก่ผู้เหมาะสมเท่านั้น   แต่ไม่ใช่ เอามหาทักษามา เวียนซ้าย  นะ     อันนั้นเป็นเคล็ดลับปลอมๆที่เขาหลอกเอาเงินลูกศิษย์     บาปกรรมจริงๆ     ใครจดไว้ให้ลบออกด้วย......จะได้บุญ




เกณฑ์เปรียบเทียบการอ่านชะตาโดยดูจักรราศี

........เราควรทราบมาก่อนว่า ธรรมชาติของเรานี้ เหมือนกระแสธารที่ไหลไปโดยไม่รู้จุดกำเนิด มีแต่ความแปรปรวน ที่อาจจะหยุดนิ่ง ไหลวน แล้วก็เคลื่อนที่ต่อไปอีก ในกระแสธรรมที่ไหลไปนั้น มีความปรุงแต่งอยู่โดยตลอด ทำให้ธรรมชาตินั้นมีคุณลักษณะไม่เหมือนกันในแต่ละขณะเวลา สิ่งสำคัญที่สุดในการเกิดเหตุการณ์ในธรรมชาติ คือ “เกิด” และ “ดับ”

..........การเกิดเป็นจุดสำคัญที่หมายเอาธรรมชาติในขณะเวลาหนึ่งเป็นจุดตั้งต้น และการดับ คือจุดธรรมชาติในอีกขณะเวลาหนึ่ง 

ในระหว่างการเกิดและดับนั้นคือ “เหตุการณ์ ” ซึ่งอาจจะเป็นเหตุการณ์เดียวหรือหลายเหตุการณ์ก็ได้ และเหตุการณ์ทั้งหลายนั้นจะมีลีลา เนื้อหาเดียวกัน เพียงแต่แสดงออกเป็นคนละลักษณะ

......เพื่อที่จะเข้าใจเรื่องนี้ ลองหาเชือกในล่อนที่มีหลายเกลียวมาเส้นหนึ่ง ยาวสักหลายเมตร คลี่คลายออกเป็นเชือกเส้นเล็กๆหลายเส้น จับมาตรึงหัวและท้ายเชือกไว้สองจุด ห่างกันสักศอกหนึ่ง เชือกเกลียวเส้นเล็กๆแต่ละเส้นจะวางตัวแตกต่างกันไป อาจเป็นเส้นคดเคี้ยว ขดเป็นวงกลมซ้อนกันกี่รอบ หรือ เป็นรูปคลื่นขึ้นๆลงๆ ก็ได้ มีเพียงจุดร่วมคือ หัวและท้ายเท่านั้น

.........โหราศาสตร์ถือว่า เชือกเส้นเล็กทุกเส้นมีกำเนิดมาจากธรรมชาติส่วนเดียวกัน ดังนั้น ไม่ว่าเราจะอ่านธรรมชาติไปตามเชือกเส้นใด เราก็จะพบเหตุการณ์ที่ “เหมือนกัน” 

ดังนั้น หากเราหมายเอาเชือกเส้นหนึ่งเป็นดวงชะตาของมนุษย์ เชือกอีกเส้นหนึ่งเป็นวัฏจักรของจักรราศี เราจะสามารถอ่านดวงชะตามนุษย์ได้จากการอ่านจักรราศี เพราะมันต่างก็ “เหมือนกัน” หรือ คล้ายกัน

.........ถ้าหากเราทำให้เชือกไนล่อนเส้นเล็กบางเส้นหดสั้นลง จะโดยใช้ไฟลนหรืออะไรก็ได้ ที่นี้ความยาวเชิงเส้นของเชือกแต่ละเส้นจะไม่เท่ากัน แต่คุณสมบัติปรุงแต่งของธรรมชาติก็ยังคงอยู่ ในระยะที่ย่อลงเป็นอัตราส่วนจากความยาวเดิม แม้จะหดสั้นลงแล้ว โหราศาสตร์ถือว่า ในระหว่างวงรอบที่มีจุดเกิดและจุดดับเดียวกัน ก็ยังมีเหตุการณ์ที่ “เหมือนกัน”

..........นี่คือ ทฤษฎีโหราศาสตร์ที่อาศัยวงรอบเวลามาใช้ในการทำนาย เพราะมีช่วงเวลาเป็นจุดเกิดและจุดดับ 

โหราศาสตร์บางระบบจึงสอนให้ศึกษาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนึ่งวัน หนึ่งเดือน และหนึ่งปี มีความ “เหมือนกัน” และ หนึ่งปี มีความเหมือนกับเหตุการณ์ในช่วงชีวิตหนึ่ง 

เนื่องจากหนึ่งวัน ราศีโคจรผ่านลัคนาครบ 12 ราศีคือหนึ่งรอบ หนึ่งเดือนจันทร์โคจรครบหนึ่งรอบ หนึ่งปี อาทิตย์จรครบหนึ่งรอบ และช่วงหนึ่งชีวิตจะโคจรเคลื่อนผ่านจักรราศีหนึ่งรอบ แต่ความข้อนี้ดูเหมือนว่าไม่ชัด ทั้งนี้ก็เพราะมีความปรุงแต่งของเหตุการณ์ให้ดูต่างออกไปอย่างซับซ้อน

..........ถ้าเราเลือกเชือกเส้นใดเส้นหนึ่ง มาศึกษาและเข้าใจ วางไว้เป็นหลักแทบจะตายตัว เราจะสามารถเอาเชือกเส้นใดที่ต้องการอ่านคุณสมบัติมาเทียบได้ 

ขอเพียงมีจุดเกิดและจุดดับตรงกัน โหราศาสตร์วงรอบธรรมชาติ อาศัยคุณสมบัติข้อนี้ โดยการวางหลักธรรมชาติหนึ่งเป็นเกณฑ์ เราก็สามารถนำวันเดือนปีเกิดของธรรมชาติดวงชะตาอื่นมาอ่านเทียบได้ และสามารถพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้เท่ากับเกณฑ์

เกณฑ์ชะตา

...........ตามปกติการทำนายทางโหราศาสตร์ 
เราจะเห็นวิธีการที่แยกได้ออกเป็น 3 ประเภท คือ 
หนึ่ง.....ใช้ดวงเดิม 
สอง......ใช้ดวงจร 
สาม...ใช้ทั้งดวงเดิมและดวงจร 

ทั้งสามวิธีการเช่นนี้ ทำให้เกิดโหราศาสตร์ต่างระบบได้มากมาย 
โหรรุ่นคุณปู่คุณย่าของเรามักเรียก ดวงเดิม ว่า “เกณฑ์ชะตา”

..........การเกิดเหตุการณ์ขึ้นจากดวงเดิม จะมีเงื่อนไข คือ การเกิดเหตุการณ์ตามเวลา อย่างเช่น เมื่ออายุ 20 ปี คุณจะแต่งงาน เมื่ออายุ 30 ปี คุณจะมีชื่อเสียง เช่นนี้ เกิดจากการดูข้อมูลจากดวงเดิม ที่เป็นเกณฑ์พื้นฐาน ส่วนใหญ่โหราศาสตร์ที่ใช้วงรอบธรรมชาติ 

ตัวอย่างเช่น ที่ใช้ เลข 7 ตัว หรือเทวดาเสวยอายุ จะใช้เงื่อนไขจากเวลาในดวงเดิมเกือบทั้งหมด ส่วนโหราศาสตร์ราศีจักร ก็ทำนายจากดวงเดิมตามเวลาได้เช่นกัน แต่น้อยกว่า เช่นพวกที่ใช้กาลจักร หรือเกณฑ์ชันษาจร ดังนั้น เมื่อเราเห็นการทำนายตามอายุ หรือวัย ก็มักจะเป็นการดูจากเงื่อนไขเวลา

..........โหราศาสตร์ที่ใช้ดวงเดิมเห็นว่า ชะตากรรมของชีวิตถูกกำหนดมาพร้อมดวงเดิมพร้อมแล้ว เหมือนกับตุ้กตาที่ไขลานเอาไว้จนเต็ม และลานจะค่อยๆปลดปล่อยออกมาทำให้ตุ้กตาเคลื่อนไหว การอ่านชะตาจร จึงเป็นเพียงการอ่านชะตาเดิมตามอายุของชีวิต ดังนั้นเราจะเห็นระบบโหราศาสตร์ที่ใช้ดวงเดิม เอาความหมายในดวงเดิมที่ขับเคลื่อนไปตามระยะเวลานั่นเอง มาใช้ทำนาย

...........ส่วนพวกที่ใช้ดวงจรเป็นหลักใหญ่ มักถือว่าดวงเดิม มีเพียงหน้าที่กำหนดกรรมเดิมเมื่อเกิดมามีลักษณะนิสัยใจคอ และพื้นฐานของเจ้าชะตา แต่ชีวิตจะเป็นอย่างไรก็จะขึ้นอยู่กับดวงจรทำหน้าที่ปรุงแต่งไป ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นผลจากการตัดสินใจของเราเอง ตามพื้นนิสัยใจคอของเรา

.........การพิจารณาเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่ามีที่มาจากอะไร จึงทำให้เราทำนายได้ถูกมากขึ้น แทนที่จะไปค้นหาผิดที่ หากมีที่มาจากดวงเดิม ก็จะอ่านดวงเดิมว่าเรื่องต่อไปจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าเป็นเรื่องจากดวงจร เราจะได้รู้ว่าเหตุการณ์จะสิ้นสุด หรือเปลี่ยนแปลงเมื่อใด

จรรยาบรรณโหร 2

.........พ้นจากการฝึกหัดเริ่มต้นมาแล้ว ขอคุยเรื่องการสิ่งที่ควรรู้ก่อนที่จะไปคุยเรื่องเนื้อหาของโหราศาสตร์อื่นๆ เพราะพวกเรามักจะมองข้ามไป พอทำนายได้แล้วก็ไม่กลับมาดูอีก เพราะไม่เห็นความสำคัญ ทั้งๆที่เรื่องเหล่านี้สำคัญกว่าความรู้อื่นใด

.........ข้อแรกคือเรื่อง ศีลธรรมจรรยา การที่เราจะทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นการทำนายดวงชะตา หรือ แนะนำอะไรเขาไป ต้องมีความรับผิดชอบ นอกจากนั้น ก็ควรรู้ข้อห้ามของโหร ที่จะไม่ทำนายดวงเด็กทารก เว้นแต่มีปัญหาเรื่องสุขภาพและชีวิต ไม่ทำนายสามีภรรยาหรือคู่ครอง เป็นเหตุให้เขาต้องแตกแยก ไม่ทายว่าเขาจะหมดอายุ ไม่สร้างมงคลตื่นข่าว ชวนคนไปไหว้ราหู หรือทำนายดวงบ้านเมือง ให้คนแตกตื่น เป็นต้น ไม่จำกัดเพียงเรื่องเหล่านี้ แต่ก็ควรมีวิจารณญาณในทุกเรื่องด้วย 

..........ข้อสอง การใช้วิชาโหราศาสตร์ไทย ควรกระทำด้วยความเคารพวิชา ไม่นำไปใช้ในทางไร้สาระ หรือ เล่นการพนัน ถือเป็นอัปมงคลแก่ตนเอง

..........ข้อสาม เป็นมารยาท ที่จะไม่เอาวัน เดือน ปี เกิด ของคนอื่นมาผูกมาดู หรือวิพากษ์วิจารณ์ หากเจ้าของเขาไม่ได้รับรู้อนุญาต ไม่ว่าจะเป็นญาติเพื่อนฝูงกันก็ตาม แม้กระทั่งดวงคนดังๆ หากเขาไม่เคยอนุญาตไว้ ก็ไม่ควรเอามาวิจารณ์เผยแพร่ จะถือว่าเขาเป็นบุคคลสาธารณะไม่ได้

..........ข้อสี่ ต้องเชื่อข้อเท็จจริงที่เจ้าของชะตาบอก เป็นหลัก 
แม้เขาแต่งงานแล้ว แต่บอกว่า ไม่ได้แต่ง มีบุตรแล้ว แต่บอกว่าไม่มี 

โหรมีหลักการที่ต้องยึดข้อเท็จจริงเป็นหลัก ไม่ใช่ยึดถือตำราเป็นหลัก แม้จะอ่านได้ว่าเขาปกปิดเป็นความลับอยู่ ก็ไม่มีหน้าที่จะไปเปิดเผยคัดง้างเขา 

ขอให้พึงพิจารณาไปตามข้อเท็จจริงที่เขาบอก หรือทำนายไปในทางอื่น นอกจากนั้น ยังเป็นมารยาทที่จะไม่เปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวของผู้ใด ให้ผู้อื่นทราบ ไม่ว่าเรื่องดี หรือ ไม่ดี เว้นแต่ตัวเขาจะเปิดเผยเอง

..........ข้อสุดท้าย คือพึงระวังดวงชะตาที่ผู้อื่น ผูกดวง หรือวางลัคนามาแล้ว เพราะการผูกดวงชะตา วางลัคนา มีข้อแตกต่างปลีกย่อยมากมาย แม้แต่เวลาเกิด ก็อาจจะไม่ตรง การวางดาวผิดราศี โดยเฉพาะดาวจันทร์ โหรควรต้องทดสอบ วางลัคนา และดาวเองก่อนที่จะทำนาย เพราะการทำนายจะต้องมีความเชื่อมั่น และพัฒนาวิชาในตัวเรา หากข้อมูลดวงชะตาผิดพลาด แล้วไปดัดแปลงทำนายจนถูก เราจะเสียหลักการ เกิดความลังเลไม่มั่นใจในการทำนายต่อไป

เจ้าเรือน

ถาม
เรียนอาจารย์วรกุล ผมมีเรื่องสงสัยเรื่องดาวเจ้าเรือนที่ใช้พยากรณ์แบบเรือนชะตาครับ 
( ใช้ปฎิทินตำแหน่งดาวจริงบนท้องฟ้า)

* เรือนชะตาเมื่อตั้งโดยใช้ลัคน์เป็นจุดตั้งต้นเรือนที่1 แล้วทำให้เรือนชะตาคร่อมราศีจริงๆบนท้องฟ้า จึงมีเรื่องสงสัยครับว่าเราจะพิจารณาดาวอะไรเป็นดาวเจ้าเรือนครับ

ตัวอย่าง: ลัคน์อยู่ 25 องศาราศีกรกฎ , 25องศาราศีสิงห์ - 24 องศาราศีกันย์ เป็นเรือนที่2 (เรือนกดุมภะ:การสะสม) ผมสงสัยว่าดาวอะไรเป็นดาวเจ้าเรือนกดุมภะครับดาวอาทิตย์หรือดาวพุธ
หรือมีหลักพินิจฉัยดาวเจ้าเรือนอย่างไรครับ 

* การพิจารณาความเป็นไปเรื่องกดุมภะ: 
หากมีดาวA เป็นดาวลอยอยู่ในเรือนกดุมภะ ที่ 20 องศาราศีกันย์ 
กับ ดาวB อยู่ 25 ราศีพิจิกทำมุม 90 องศากับเส้นแบ่งเรือนกดุมภะ 
กับดาว C ที่เป็นดาวเจ้าเรือนที่มีมาตรฐานสูง 

ผมสงสัยว่าดาว A B C ดาวดวงใดมีอิทธิพลบอกความเป็นไปดามความหมายของเรือนกดุมภะมากที่สุดครับ แล้วในทัศนะคติที่ถูกต้องเรานำดาว A B C มาใช้พยากรณ์เรื่องกดุมภะอย่างไรครับ

* ดาวเจ้าเรือนเรานำมาใช้พยากรณ์เพื่อบอกความเป็นไปของเรื่องต่างๆตามความหมายนั้นๆได้ดี เช่นดาวเจ้าเรือนกดุมภะมีมาตรฐานสูง อยู่ในตำแหน่งที่ดีเจ้าชะตาควรมีฐานะการเงินที่ดี แต่ทำไมพบมาเจ้าชะตามีฐานะการเงินไม่ดี ชีวิตมีปัญหาขัดสนเรื่องเงินทองตลอด

* มาตรฐานดาวที่ถูกต้อง ต้องเป็นมาตรฐานดาวที่มาจากตำแหน่งดาวจริงบนท้องฟ้าใช่หรือไม่ครับ หากตำแหน่งดาวบนดวงกระดาษตำแหน่งดาวไม่ตรงตำแหน่งราศีตำแหน่งดาวจริงๆบนท้องฟ้า มาตรฐานดาวก็เพี้ยนไปผิดคนละมาตรฐานเลยใช่หรือเปล่าครับ 

* หากดาวศุกร์บนท้องฟ้าอยู่29องศาราศีพฤษกถือว่าดาวศุกร์มีมาตรฐานเกษตรแม้ว่าใกล้จะเข้าราศีมิถุนก็ตาม ?

* หากดาวเจ้าเรือนบนดวงกระดาษคลาดเคลี่ยนไปไม่ตรงราศีจริงบนท้องฟ้า การพิจารณาเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องก็จะพลาดไปด้วยใช่หรือไม่ครับ เช่น ตนุเศษก็ผิด รวมถึงระบบธาตุด้วยใช่หรือไม่ครับ

รบกวนอาจารย์ช่วยตอบไขข้อกังขาให้กระจ่างดัวยครับ

ตอบ

****ข้อแรก
........ดวงชะตาอย่างที่คุณว่า เป็นดวงแบบ “ภวจักร” อย่างหนึ่ง ดวงภวจักรมีหลายแบบมากมาย เกิดจากการแบ่งเรือนโดยมีจุดกำเนิดเรือนที่ต่างกัน 

ชาวโหราศาสตร์ไทยกลุ่มที่ใช้เรือนชะตาจากราศี ที่เราเรียกว่า “ดวงอีแปะ” จึงเรียกเรือนที่ดวงภวจักรใช้ว่า “ภพ” เพื่อไม่ให้สับสนกับระบบเจ้าเรือนของไทย

แม้จะมีผู้เรียกดวง “ภวจักร” ว่าเป็นโหราศาสตร์ไทย แต่ก็ไม่ตรงกับตำราดั้งเดิมของไทย ผมขออธิบายให้ทราบเพียงเท่านี้

.........ดวงภวจักร ส่วนมากไม่ได้อ่านระบบเจ้าเรือนครับ แต่อ่านดาวลอยในภพ อ่านแบบเดียวกับการอ่านระบบดาว แบบที่ผมอธิบายมาแล้ว

.......เช่น อังคารอยู่ภพที่ 3 เจ้าชะตาขยันเข้าสังคม อะไรแบบนี้.......แต่การอ่านระบบเจ้าเรือนของเขาก็มี เป็นการกำหนดใหม่ ไม่อยากเอามากล่าวถึง

***ข้อสอง
........ดาวเจ้าเรือนเป็นดาวที่มีอิทธิพลต่อเรือนสูงสุดครับ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีมาตรฐานสูงหรือไม่ 

ส่วนดาวที่มาสถิตเรือนกดุมภะ หรือ มาทำมุม 90 องศากับเส้นแบ่งเรือนนั้นคุณเข้าใจผิด ขอให้ดูคำตอบในข้อต่อไป ประกอบด้วย

.......ดาวที่มาอยุ่ในเรือนกดุมภะ มี 2 บทบาท 
หนึ่ง.......ในระบบเจ้าเรือน มันเป็นเจ้าเรือนใด เอาเรือนนั้นมาสัมพันธ์กับกดุมภะ 
สอง......ในระบบดาว ตัวมันเป็นดาวดวงหนึ่ง สามารถเกิดมุมดาวกับดาวดวงอื่นๆได้

.......สุดท้ายคือดาวที่ทำมุม 90 องศากับเส้นแบ่งเรือน ไม่มีผลอะไร กับกดุมภะเลย เพราะราศีเป็นเพียงเรือนสถิตของดาว ไม่เกี่ยวกับมุมอะไรจากดาวอื่น

***ข้อสาม
.........ดาวเจ้าเรือนกดุมภะมีมาตรฐานอยู่ในตำแหน่งดี แต่เจ้าชะตามีฐานะไม่ดี ขัดสนเงินทองนั้นมีหลายเหตุผลครับ เอาเหตุผลสามัญก่อน เช่น 
หนึ่ง......ยังไม่ถึงเวลาจะดี เช่น บางคนยากจนอยู่ แต่ไปสู้แล้วรวยภายหลัง 
สอง.....รายจ่ายเยอะกว่ารายได้ เล่นพนันแหลกลาญ

........เหตุผลทางดาว อาจไม่ดีจริง มีดาวเป็นคู่ศัตรู หรือมีอุปสรรคขัดข้องเกี่ยวข้องมากมาย เป็นได้ทั้งนั้น อ่านข้อต่อไปด้วย

***ข้อ สี่
.........มาตรฐานดาวในดวงเกิดจากตำแหน่งในราศี 
รู้สึกคุณเคร่งเรื่องมาตรฐานดาวมากไป และส่วนมากมักคิดกันว่าดาวมาตรฐานเป็นดาวดี 

ความจริงดาวมาตรฐานคือดาวที่อ้างอิงจากฐานที่มันเองอยู่เท่านั้น 
ตัวอย่างเช่น พลเอกทหารมียศที่เคารพกันในกองทัพ เขาบังคับบัญชาทหารได้มาก 
แต่พอเดินเข้าห้างสรรพสินค้า จะถือว่าเป็นผู้จัดการห้างสรรพสินค้าไปด้วยเลยไม่ได้ และการได้ยศนายพลก็ไม่ได้แสดงว่าเขาเป็นคนดีด้วย ถ้าเช่นนั้นพอเข้าวัดก็ต้องถือว่าเป็นพระอรหันต์ไปด้วยซี 

และเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับดาวจริง ดาวไม่จริง ครับ อยากแนะนำให้ทุกคนปล่อยวางเรื่องยศศักดิ์ของดาวไปก่อน จนกว่าจะเข้าใจดี
 
***ข้อ ห้า
.........ดาวศุกร์เป็นเกษตรตลอดราศีพฤษภครับ ไม่ว่ากี่องศาก็ตามไม่มีข้อแตกต่าง เกษตรราศีเป็นการกำหนดโดยธาตุ ไม่เกี่ยวกับองศา

***ข้อหก
........นี่ก็เป็นความเข้าใจผิด เพราะดาวเจ้าเรือนกำหนดตามราศีธาตุ ไม่มีทางผิดไปจากกันได้ เหมือนบ้านคุณก็มีชื่อเป็นของคุณแค่นั้น 

ที่จะผิดจากราศี ก็เป็นเพราะคุณใช้จักรราศีแบบอื่นๆมาอ่านเป็นเรือนชะตาในจักรราศีแบบไทย แบบนั้นผิดตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่เกี่ยวกับระบบธาตุและตนุเศษ ซึ่งไม่มีทางผิดเพราะราศีก็ใช้จักรราศีเดียวกับลัคนานั่นเอง และเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับตำแหน่งดาวจริง ไม่จริงอย่างที่คุณคิด 

อย่างคนชื่อ “ทักษิณ” คุณจะว่างั้นตำแหน่งก็ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย ไม่งั้นเป็นตัวปลอมหรือ ก็เขาชื่อทักษิณจริงๆตามบัตรประชาชน ขอให้คิดเอาเอง

ถาม
การพยากรณ์แบบใช้มุมดาวนั้นใช้มุมดาวที่สัมพันธ์ กุม(1) เล็ง(7) โยคหน้า(3) โยคหลัง(11) เกณฑ์(1,4,7,10) ตรีโกณ(5,9) 

1.กับราศีเหรอครับ ไม่ใช่ดาวเจ้าเรือนเหรอครับ 
2.แล้วมีใช้มุมอื่นอีกไหมครับ 
3.แล้วมุมสัมพันธ์แต่ละมุมมีความหมายอีกไหมครับ หรือแค่ถือว่าสัมพันธ์กัน แล้วอ่านรายละเอียดจากดาวที่มาทำมุมกันว่าเป็นคู่มิตร คู่สมพล คู่ธาตุ หรือ อื่นๆแทน

ตอบ
...........มุมดาว 1 4 7 10 โยค ตรีโกณ เล็ง ใช้กับ “ดาว” ครับ ไม่ใช้กับ “เจ้าเรือน” 
แม้ดาวกับเจ้าเรือนจะเป็นดวงเดียวกัน แต่ต้องแยกบทบาทของมันให้ออกก่อน 

ส่วน “ราศี” ว่าง นั้น ปกติก็ไม่ใช้กับมุมดาว เว้นแต่ราศีที่มีดาวอยู่ด้วย ราศีนั้นจึงจะมีผลทางมุมดาว 

และแม้ ราศี กับเรือนจะเป็นสิ่งเดียวกันก็ตาม แต่ก็เป็นคนละบทบาทอีกนั่นแหละ คุณอย่าเพิ่งสับสนกับบทบาทของดาว และ การใช้เกณฑ์กับราศีว่างนั้นเป็นของโหราศาสตร์ระบบอื่นครับ


.........และอย่าสับสนกับการ “กุม” กับ “ร่วมราศี ” ดาวร่วมราศีกันมีความสัมพันธ์ทางเรือน แต่จะเป็นการกุม ในเกณฑ์ต่างๆ เมื่อองศาดาว ใช้ได้ ส่วนความหมายของมุมสัมพันธ์นั้นมีครับ 
 เอาแค่นั้นก่อน

.........ส่วนความสัมพันธ์ผ่านเกณฑ์อื่นๆ ผมยังไม่อยากแนะนำ เพราะเพียงเท่าที่ดูเบื้องต้นนี้ คุณก็จะงงแทบดูไม่ถูกแล้วครับ ผมเกรงว่าจะยิ่งวุ่นวายกันไปใหญ่ ในการเรียนระดับสูงขึ้นไปยังมีเกณฑ์ของเรือนและดาวอีกมากมาย แต่พื้นฐานต้องดีก่อน และเป็นเรื่องที่ต้องอธิบายกันยาวด้วย ที่ต้องอธิบายยาวนั้นพอทำได้ แต่พอเริ่มอธิบายแล้ว ส่วนใหญ่ก็ต้องมานับหนึ่งกันใหม่ทุกที ผมเบื่อจะสอนใคร และตอบปัญหาใคร ต่อมา ก็เพราะเรื่องนี้เป็นเหตุด้วย


..........หากเราแยกระบบเรือน กับ ระบบดาวออกได้ชำนาญแล้ว ต่อไปจึงเอามารวมกันได้ครับ ตอนนั้นคุณอยากเอาเจ้าเรือนอะไรทำมุมกันเจ้าเรือนอะไรก็ได้ตามใจ คุณอาจจะสงสัยว่า ถ้างั้นเราไปแยกมันออกทำไม ตอบได้ว่า ก็เพราะจุดกำเนิดมันแยกกันมานั่นเอง ต่อไปคุณติดปัญหาการเรียนโหราศาสตร์ไทย คุณจะแก้ง่าย เข้าใจเหตุผลง่ายนิดเดียว พูดสองคำก็รู้แล้ว

ขั้นตอนการอ่านดวงพื้นฐาน 3

.........คราวก่อนเขียนเรื่องวิธีที่ผู้ที่เริ่มหัดเรียนควรจะทำ 
..........เมื่อเรียนโหราศาสตร์ทีแรก เราจะทำนายกันยากสักหน่อย พอฝึกไปนานสักนิดก็เริ่มจะอ่านดวงเดิมได้คล่องขึ้น ทายไปคนเขาก็ว่าถูก 

แต่พอเขากลับมาถามเรื่องเดิมอีก ตามหลักก็ต้องทายซ้ำอีกเพราะรูปดาวมันมีแค่นั้น ทั้งๆที่สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว เราก็ต้องเริ่มไปใช้ดวงจรมาทาย 

ที่นี้หลักดาวจรมันทายยากขึ้น แล้วจะเริ่มงง เพราะการทายจร มักจะขัดกับดวงเดิม หรือขัดกันเอง แปลความชักจะไม่ค่อยออก จะทายติดขัด 

จะไปยึดดาวจร ปรากฏว่าเหตุการณ์มันมาออกที่ดวงเดิม พอไปยึดดาวเดิม เหตุมันดันมาเกิดที่ดาวจร การทายก็เลยต้องเหวี่ยงแหครอบจักรวาลเข้าไว้ 

ที่ร้ายไปกว่านั้น เกิดไปทายว่าเขาจะรวย เขาก็เกิดถามอีกว่าเขาจะรวยเมื่อไร วันไหน อายุเท่าไร ทำอะไรจึงจะรวย ขืนเดาไป ต่อๆไป ทายคนคนเดียวกัน แต่ไม่เหมือนกัน เขามาต่อว่าจะทำอย่างไร

..........ที่เป็นเช่นนี้ เกิดจากสาเหตุประการเดียว คือเราไม่รู้ “เหตุผล ” ของการทำนาย ไม่เคยมีใครมาบอกเราชัดเจน ว่า ทำนายอย่างนั้น เอามาจากไหน มีแต่อ้างว่าเขาสอนกันมาอย่างนี้นานแล้ว ตำราว่าไว้อย่างนั้นอย่างนี้ หรือเกิดจากสถิติเป็นแบบนี้ จึงกลายเป็นการขีดเส้นให้เดินไปเป็นการท่องจำ 

วิธีการจริงๆนั้น เราทุกคนต้องคิด ตั้งคำถามถามตัวเอง แล้วจะเข้าใจเอง เกิดเป็นทักษะ การคิดตามแบบของคนอื่นจะทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะการทำนายทางโหราศาสตร์นั้น เมื่อเข้าใจแล้ว ก็ไม่ต้องมานับหนึ่ง สอง สาม กันตามตำรา แต่อยู่ที่ไหวพริบปฏิภาณนั่นเอง

..........เวลาเราพิจารณาเรือน หรือดาวเพื่ออ่านเรื่อง เราอย่าอ่านมุมเดียว ดาวเดียว แต่ขอให้อ่านทุกแง่ทุกมุม ทุกเรื่องทุกความสัมพันธ์ แล้วเราสร้างเรื่องที่อ่านได้ขึ้นมา 

สมมุติอย่างเช่น เจ้าเรือนกดุมภะไปอยู่เรือนมรณะ อ่านแบบนักเรียนง่ายๆว่า เงินทองจะจากไป คำถามที่ต้องตั้งให้แก่ตัวเองก็คือว่า มันจากไปทางไหน อย่างไร โดยใคร หรือ อะไร เมื่อไร ทำไม มีใครหรืออะไรเกี่ยวข้องบ้าง เกี่ยวข้องอย่างไร เงินมันไปทั้งก้อน หรือเหลือบ้างไหม ส่วนที่เหลือมันเป็นอย่างไร เพราะอะไร อยู่ที่ไหน อย่างไร โดยอะไร ทำไม มีอะไรเกี่ยวข้องบ้าง และเมื่อเงินทองจากไปหมดจะมีเงินใช้ได้อย่างไร เงินทองมันมีที่มาจากไหน วิธีใด ฯลฯ 

คำถามที่ตั้งขึ้นแบบนี้ ดูๆมันเหมือนเลอะเทอะไร้สาระ และมากมายเกินเหตุ 
นี่แค่อ่านเรือนมาประโยคเดียว ยังยุ่งแค่นี้ ขืนอ่านทั้งเรือนและดาวหมดทั้งดวง คงดูเดือนหนึ่งไม่เสร็จ

..............แต่ใครคิดแบบนี้ก็เข้าใจผิดครับ พอเราอ่านเรือน และดาวสัมพันธ์กันไป
 มันจะเริ่มวนซ้ำ เราจะได้ภาพที่ชัดขึ้น 

และบางคำถามหาคำตอบไม่ได้ ก็ไม่ต้องวิตกเกินเหตุ แต่เราจะรู้ว่าอะไรมันสัมพันธ์กันอย่างไร 

การที่เราหมั่นสงสัยไปทุกอย่าง แทนที่จะอ่านโดยดื้อๆ นั้น จะทำให้เราทราบเรื่องราวหลายหลากที่อาจเป็นไปได้ในดวงชะตานั้น พออ่านหลายๆดวงเข้า คำถาม คำตอบมันก็จะผุดขึ้นมาเอง เพราะชำนาญในการคิด

..........แต่สิ่งสำคัญของการพิจารณาดวงชะตา ก็คือ “การหาเหตุผลของเรื่องราวในชีวิตมนุษย์ ไม่ใช่การอ่านพรหมลิขิตที่บังคับให้ชีวิตเป็นไป” 

เช่น คนคนหนึ่งเมื่อเขาจน หรือรวย 
เราควรถามตัวเองและหาความรู้ให้ได้ว่า เขาจน หรือรวย มาได้เพราะเหตุใด 
เพราะโหราศาสตร์ไม่มีอะไรที่แตกต่างจากชีวิตจริง 

การอ่านดวงชะตาไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน คำทำนายนั้นต้องสัมผัสได้ ไม่ใช่ทายแบบลอยบนก้อนเมฆ ไม่เห็นเป็นรูปธรรม 

เพราะเวลาทำนายจริงๆ หากคุณทำนายว่าต่อไปเขาจะรวย เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เขาจะถามคุณทันทีว่า เมื่อไรจะรวย ทำอะไรจึงจะรวย

..........ขอให้ทราบไว้ว่า ประโยคที่เราอ่านได้ประโยคเดียวในดวงชะตา เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเรือนและดาว ซึ่งเกิดจากเหตุการณ์หลายอย่างที่ซ้อนอัดแน่นกันมาเป็นจำนวนมาก ดาวจร จะทำหน้าที่ดึงเอาเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมาเด่นกว่าเหตุการณ์หนึ่ง ในเวลาใดเวลาหนึ่ง เหมือนอ่างน้ำมีลูกปลาอยู่ร้อยตัว 

ถ้าเราเอาสวิงตักขึ้นมา อาจจะได้ เป็นปลาตัวใดตัวหนึ่ง ไม่ใช่ปลาทุกตัว อาจเป็นปลาตัวเดิม หรือปลาตัวใหม่ หรือปลาสองตัวขึ้นไปก็ได้ และบางตัวก็ไม่เคยถูกตักขึ้นมาเลย 

ถ้าเราอ่านดวงเดิมได้หลากหลายเรื่องราว เวลาอ่านดวงจรก็จะคมชัดขึ้น และอ่านนานเข้า สังเกตจากผลที่เกิดขึ้นจริง เราก็จะรู้ว่าหลักที่เราอ่านมานั้น อะไรเท็จอะไรจริงเชื่อถือได้ 

...........แนะนำมือใหม่หัดเรียนกันมาพอสมควรหลายตอนแล้ว ต่อๆไปจะเป็นเรื่องแนวคิดพื้นฐาน เกี่ยวกับโหราศาสตร์ทั่วไปละ 

ขั้นตอนการอ่านดวงพื้นฐาน 2

ถาม
เรียนถามอาจารย์วรกุลครับ
จากขั้นตอนพื้นฐาน อาจารย์แนะนำให้อ่าน เ จ้ า เ รื อ น ตนุไปสองจังหวะเพื่อเป็นโครงเรื่องคร่าวๆก่อน ตรงนี้พอเข้าใจครับ

แล้วให้อ่าน เ รื อ น ที่มาสัมพันธ์กับตนุ และ เ จ้ า เ รื อ น ตรงนี้นะครับอาจารย์วรกุลใช้ความสัมพันธ์แบบใด 
1.ใช้ร่วมเรือนเกษตร แฝงเรือน แฝงดาว 
2.ใช้พวกเรือนที่เป็นจตุเกณฑ์ โยค ตรีโกณ 
3.ใช้ทั้งหมดครับ

เสร็จแล้วแนะนำให้อ่านความสัมพันธ์ทางดาวระหว่างดาวอื่นกับตนุลัคน์ อันนี้ใช้ความสัมพันธ์แบบใด
1.มุมดาว
2.แฝงเรือน แฝงราศี แฝงดาว
3.ใช้ทั้งหมด

ตอบ
การอ่านเจ้าเรือนตนุไปสองจังหวะ ในเมื่อคร่าวๆอยู่ก่อน ก็อ่านสัมพันธ์เรือน และเจ้าเรือนอื่นในทางกุมร่วมเรือนก่อนเพื่อนเลย 

ต่อไปจึงอ่านการร่วมผ่านเรือนเกษตร อ่านเท่านี้ได้ก็ถือว่าได้ กระดูกสันหลังเป็นโครงเรื่องแล้วครับ การอ่าน แฝงเรือน แฝงดาวขอเอาไว้วันหลังก็ได้

........ส่วนการอ่านจตุโกณ โยค เกณฑ์ ตรีโกณ ในชั้นนี้ขอให้ใช้ในการอ่านดาวโดยราศี ไม่ใช่อ่านจากเจ้าเรือนก่อน ขั้นนี้ขอให้ทำแค่นี้จะได้ไม่งง

........สรุปง่ายๆก็คือ ให้เราแยก ระบบเรือน กับระบบดาวออกจากกันก่อน..........

ระบบเรือนนั้น อ่านความเป็นเจ้าเรือนโดยไม่อ่านชื่อดาวเลย อ่านสัมพันธ์เจ้าเรือนอื่น กับ สัมพันธ์เรือนอื่น ทาง ร่วมเรือนเดียวกัน และร่วมเกษตรเรือนเดียวกัน และอ่านตามเจ้าเรือน เจ้าบ้าน ไปสองจังหวะก่อนก็พอ แค่นี้เอาให้ได้

........ส่วนระบบดาว ให้ดูดาว ราศี และตัวเรือน อย่าเพิ่งอ่านเจ้าเรือน 
ให้ดูตำแหน่งดาว อุจ นิจ ประ เกษตร มหาจักร ธาตุ และธาตุราศี แล้วค่อยดูดาวโยค ตรีโกณ จตุโกณ เอาเพียงเท่านี้ให้ได้ก่อน 

ในระบบโหราศาสตร์ไทย ทำเช่นนี้เป็นพื้นฐานจนชินว่าจะใช้อะไรกับอะไร ชำนาญแล้วค่อยจับระบบไขว้รวมกัน แล้วค่อยไปต่อเทคนิคอันอื่นครับ ถ้าไม่ชำนาญอย่าเพิ่งออกนอกเส้นที่แนะนำนี้ จะเป็นเร็วกว่า และไม่ต้องตามมาปรับเบสิกกันภายหลัง

........นักเรียนส่วนมาก เรียนมามากแล้ว แต่ไม่ค่อยรู้พื้นฐานตรงนี้ กลับไปรู้ไม้เด็ดเคล็ดลับสารพัด วางฤกษ์วางยาม ขับดวงหมุนดวงมหัศจรรย์มากมาย เหมือนเล่นฟุตบอลแหละ เบสิกเดาะบอลยังไม่รอด เตะบอลยังไม่ค่อยไป แล้วไปหัดยิงฟรีคิกลูกไซด์โค้ง สกรูมุดดิน แล้วมันจะไปรอดหรือ

ถาม
มีอีกอันครับ
สมมติว่าภพสัมพันธ์ดี
แต่ดาวสัมพันธ์ไม่ดี เป็นคู่ศัตรู หรือ ดาวที่ไม่ถูกกันเราจะแปลอันไหนเป็นหลักอันไหนเป็นรอง
1. ภพบอกดีดาวบอกไม่ดี เราทายดีเพราะเน้นภพเป็นโครงเรืองใหญ่
2. ภพบอกไม่ดีดาวบอกดี เราทายดีเพราะเน้นความหมายดาวเป็นใหญ่
3. ทายดีทายเสียไปตามภพตามดาว อันไหนบอกดีตรงไหนทายตรงนั้น ตรงไหนเสียก็ทายเสีย
4. อื่น

ตอบ 
ในระบบเรือนและเจ้าเรือน 
ชื่อเรือนทุกเรือน ไม่มีอะไรดีอะไรเสีย ลาภะ ศุภะ ปุตตะ กดุมภะ ไม่จำเป็นต้องต้องดี อริ มรณะ วินาสน์ไม่จำเป็นต้องเสีย 

ดังนั้น ดีหรือเสียให้ยกทิ้งไปก่อน แล้วดูแต่เรื่องราวความเป็นไปของเรือนและเจ้าเรือน ยังไม่ทายดี หรือ เสีย 

ใครทายดีทายเสียเลย ให้เขกเข่าจนกว่าจะจำได้ 

พึงระวังการคิดที่ขาดเหตุผลของเราเอง เช่น กัมมะ ตกอริ การงานจะต้องเหน็ดเหนื่อยต่อสู้อุปสรรค เราไปเห็นว่ามันไม่ดีเพราะคิดไปเองว่าเหนื่อย นักมวยเหรียญทอง แชมป์โลกมีเงินหลายร้อยล้านก็มีเจ้าเรือนแบบนี้ วันไหนไม่ถูกใครต่อยพาลจะไข้ขึ้น 

หรือ ตนุไปอยู่ศุภะ อาจนอนเป็นง่อยสบายๆอยู่ก็ได้ มาถามว่าตกงานอยู่ เมื่อไรผมจะได้เหนื่อยเสียที เพราะไม่เหลือเงินใช้แล้ว

.........ส่วนระบบดาวนั้น เน้นการดูคุณภาพของดาว ดาวเด่น ดาวด้อย ดาวมีกำลัง ดาวอ่อนแรง ดาวมีความมั่นคง ดาวมีลักษณะการเป็นอยู่ ดาวมีปฏิกิริยาช่วยกัน ดาวมีความขัดกัน ดาวจับคู่ กัน เป็นต้น

..........นี่ก็อีก ยังไม่ทายดี หรือไม่ดี ใครทายดี หรือไม่ดี ให้เขกโต้ะ

.........เมื่อดูแล้วค่อยมาคิดทีหลังว่าแบบนี้มันจะดีหรือเสีย 
เช่น 
อัตคัดขาดแคลนโรคภัยไข้เจ็บ 
ร่ำรวยหนี้สินหลายร้อยล้านเท่าของสมบัติที่มี 
ตายเพราะถูกฆ่าด้วยกระสุนอุดมสมบูรณ์ 
มีลาภได้สามีครั้งเดียวมากมายหลายสิบคน 
ตกงานทีไรไม่เคยได้สบาย มีคนมาเรียกไปทำงานรับเงินจนเหนื่อยทุกที 
อะไรแบบนี้ลองคิดดูก่อนแล้วค่อยตอบ 
นี่ขนาดยังไม่ได้เอาทักษา ศรี กาลกิณีมาดูด้วยนะ

..........ระหว่างเรือน กับดาวนั้น 
ผลมักจะออกมาที่เรื่องจาก ดาว จะมีความดี และเสีย ของเรื่องราวต่างๆมากกว่ามากกว่าเรือน แต่ไม่แน่นอนนัก ต้องดูความหมายจริงอย่างที่บอกแล้ว 

ส่วนเรือนนั้นถือเป็นกลางๆเข้าไว้ก่อน 

หลักเบื้องต้นสำหรับนักเรียนคือ “เรือนเป็นเรื่องราว ดาวเป็นเรื่องขยาย” ในโหราศาสตร์ไทย ระบบดาวมักจะไม่ดูการแสดงเรื่อง แต่ดูคุณภาพมากกว่า ระบบเรือนก็กลับกัน เว้นแต่เข้าขั้นเซียนหมอดูแล้ว ดูอะไรก็ดูได้ทั้งนั้น 

ขั้นตอนการอ่านดวงพื้นฐาน

........เมื่อแรกหัดเรียนโหราศาสตร์ไทยใหม่ๆ ส่วนใหญ่พวกเราไม่ค่อยมีปัญหาอะไร เพราะการที่เราเรียนแต่ละเรื่องไปนั้น จำกัดวงความคิดเราให้อยู่กับเรื่องนั้น เช่น เรียนเรื่องอุจ เกษตร เรื่องเรือนชะตา ราศีเกณฑ์ หรือ มุมระหว่างดาว เรียนแล้วก็หมูมาก หลายคนท่องได้จนคล่องปาก แต่พอไปดูดวง ส่วนใหญ่มักจะจับอะไรไม่ถูก เพราะสิ่งที่เรียนมันเข้ามาตีกันวุ่นวายไปหมดในสมอง 

........สิ่งที่มาช่วยเราคือการกำหนดขั้นตอน 

อาจารย์ส่วนมาก จะช่วยบอกขั้นตอนให้ว่าควรทำอะไรบ้าง การทำแบบนี้ก็ดี จะช่วยพัฒนาไปขั้นหนึ่ง เหมือนหัดว่ายน้ำในคลอง แล้วใช้ลูกมะพร้าวพยุงตัว 

แต่การที่ยึดขั้นตอนไว้ แม้จะพอไปได้ แต่พอจะพยากรณ์ก็มักจะติดๆขัดๆ จะพูดก็ไม่ชัด มีแต่ข้อแม้ อาจ เป็นนั่นอาจเป็นนี่ก็ได้ ไม่แน่ไม่นอน เพราะเวลาดูความสัมพันธ์เรือนก็ตาม ดาวก็ตาม จะมีทั้งเรือนดี เรือนเสีย ดาวดี ดาวเสีย มาสัมพันธ์กันอีรุงตุงนังไปหมด ในที่สุดก็ลงความเห็นไม่ได้ว่าเป็นอย่างไรกันแน่ 

อุปสรรคสำคัญที่นักเรียนส่วนใหญ่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ขัดข้องก็คือ ไม่รู้ว่าจะทายดีหรือ ทายเสีย พออาจารย์ว่าทายเสีย หรือทายดีก็ลุยเลย การทายแบบนี้ก็ไม่ดีไปกว่าการเสี่ยงทาย หัว หรือก้อย มีสิทธิ์ถูกและผิดเท่าๆกัน

..........ถ้าเราผ่านดวงชะตาบ่อยๆ เราจะรู้เลยว่า 
ในดวงๆหนึ่งเราจะดูไปทางเลว หรือทางดีก็มีเหตุผลมาสนับสนุนทั้งสองอย่าง 

เช่นถ้าคุณรู้ว่าคนนี้เดิมเขาเกิดมาเป็นกำพร้ายากจนไม่มีอะไร ต่อมาบากบั่นต่อสู้จนได้เป็นรัฐมนตรี เราวิจารณ์ดวง อะไรก็ดูมันง่ายไปหมด โน่นก็อุจ นี่ก็เกษตร นี่ก็คู่มิตร นี่ก็คู่ธาตุ เดี่ยวก็มีดาวเป็นโยค เป็นเกณฑ์ เป็นเดช เป็นศรี เป็นพระยา 

แต่พอกลับกัน ประวัติเขาไม่ดี รัฐมนตรีคนนี้คอรับชั่นกลับกลายเป็นโจร ต้องติดคุก เราก็เห็นประเด็นเยอะแยะ โน่นก็กาลกิณี นี่ก็ อริ มรณะ วินาสน์ โน่นก็พินธุบาทว์ แถมขับดวงชะตาตกเรือนดี ก็ว่าทำลายความดีเสียอีก นี่เป็นเพราะเราคลำจากผลไปหาเหตุ แล้วเลือกเฉพาะเหตุที่พอใจเรา เป็นอคติอย่างหนึ่งที่ร้ายแรงมาก

.........เราควรฝึกอย่างมีหลักการ การเริ่มดูดวงชะตา ขั้นแรก ควรกำหนดดูที่ เรือนตนุ ก่อน ดูทั้งดาวในเรือน และดูตามเจ้าเรือนไป 

เสร็จแล้วก็ดูต่อไปตามเจ้าบ้านที่เจ้าเรือนอยู่นั้นไปเรื่อย เอาไว้ขั้นหนึ่งก่อน 

ขั้นต่อมาจึงกลับไปดูอย่างเดิมอีกรอบหนึ่ง แต่คราวนี้ดูเรือนที่สัมพันธ์ถึงตนุ และ เจ้าเรือนในสายแรกในขั้น หนึ่งนั้น.ให้หมด

..........การดูสัมพันธ์เรือนแบบนี้ จะช่วยให้เรารู้จักเจ้าชะตาไปก่อน เหมือนเปิดหนังสืออ่านสารบัญไปอย่างคร่าวๆ ยังไม่ต้องดูดาว ว่าเป็นอุจ เป็นนิจ หรืออะไร 

สิ่งที่เราได้ก็คือ ลีลานิทานชีวิตของเจ้าชะตา โดยยังไม่ต้องรู้ว่ามันดีเลวอย่างไร ลำบาก หรือสบายแค่ไหน เหมือนคนคนหนึ่ง เดินมา นั่งลง กินข้าว ให้รู้ไว้ ไม่ต้องไปรู้ว่ากินกับข้าวอะไร อร่อยไหม นั่งบนเก้าอี้สีอะไร ทำนองนั้น

..........ต่อมาเราจึงค่อยไปจับดาว มีตำแหน่งดีเลวอย่างไร 
จับทางราศีก่อน เพราะส่วนขยายทางนิทานชีวิตจะยังไม่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ 

ส่วนขยายนิทานชีวิตนั้น ดวงดาวจะมีน้ำหนักมากกว่า 
เราจึงควรดูดาวในราศี ในเรือน เป็นสำคัญ 

เมื่อได้รู้หมดว่าคุณภาพดาวเป็น อุจ เกษคร ประ นิจ ราชาโชค มหาจักรอย่างไรแล้ว 
ให้กลับไปอ่านขั้นหนึ่งมาใหม่ 

เราจะเห็นสีสันของนิทานชีวิตเขาเพิ่มขึ้น 

ต่อไปจึงค่อยดูความสัมพันธ์ทางดาว 

จะเป็นมุมดาว ดาวคู่ ดาวกุม ดาวเล็ง พวกนี้ มาขยายความเข้าไปอีก 

เพียงเท่านี้ นักเรียนโหราศาสตร์มือใหม่ควรทำให้ได้เสียก่อน เมื่อทำชำนาญมากเข้าแล้ว วันหลังเราอ่านเที่ยวเดียว ก็สามารถทำได้ครบทุกอย่างโดยไม่ยุ่งเหยิงเลย

...........การที่ไม่ได้ให้ไปอ่านอย่างอื่น ก็เพื่อไม่ให้เราสับสนเกินเหตุ 
เพราะเพียงถ้าเราใช้หลักที่บอกข้างต้นนี้ ก็เพียงพอทำนายได้แล้ว 
ถึงแม้จะยังไม่สวย ไม่มีลูกเล่น หรือไม่ชัดเจน 

แต่การที่เราทำนายง่ายๆ เช่นว่า คุณจะผิดหวังเรื่องคู่ หรือผลงานจะเสียเพราะลูกน้อง แต่ถูกต้อง ก็นับว่าบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว โดยที่เรายังไม่ได้หาสาเหตุแท้จริงของเรื่องราว หรือบอกรายละเอียดปลีกย่อยอะไรไป ขอให้ลองฝึกทำเช่นนี้จนคล่องดูสักที จะดีกว่าการเรียนแกว่งเปะปะ บางคนเรียนแต่สะสมวิชาไว้มาก ก็จะไม่ได้อะไรมากกว่าเรา

...........การอ่านแง่มุมอื่น เช่น ถือเอาตนุลัคน์ หรือตนุเศษ เป็นทางอ่าน อย่างที่เขามักสอนกัน ไว้รอให้เราคล่องก่อนแล้วค่อยมาดูก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อน

ลำดับก่อนหลัง น้ำหนักของเรื่อง

วิชาโหราศาสตร์ก็คล้ายๆกับวิทยาศาสตร์ ที่มีทั้งอุตุนิยมวิทยา สมุทรวิทยา เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยาอะไรแบบนั้น ที่กล่าวถึงเฉพาะเรื่องเป็นหลักใหญ่ๆ ส่วนจะไปเกี่ยวข้องกับอะไรบ้างนั้น อาจจะมีเป็นส่วนปลีกย่อย

.........วิชาต่างๆก็เหมือนกัน อย่างกาลโยค หรือ ฤกษ์ ก็เป็นเรื่องที่ดูในระดับสูงจะดีกว่า อย่างกาลโยคบางวันเป็นอุบาทว์ โลกาวินาสน์ ความหมายอยู่ในวงกว้างทั้งปี 

หรือคนเกิดเพชฌฆาตฤกษ์ โจโรฤกษ์ ก็ไม่จำเป็นต้องจิตใจเหี้ยมหาญ วิตกทุกข์ร้อน กลัวจะไปเป็นโจร เพราะเป็นผลทางด้านนิสัยใจคอบ้าง กว้างๆ หรืออยู่ในระดับจิตใต้สำนึก แต่การดำรงชีวิตของเราจะขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม เรื่องเรือน เรื่องดาว มุมดาว อะไรที่มันส่งอิทธิพลแรงกว่า มีผลต่อนิสัยของเราเป็นรูปธรรมใกล้ชิด ให้เห็นชัดกว่า

.........หลักวิชาประเภทที่มีเงื่อนไข ก็อย่างเช่น ดาวพวกที่เป็นเกณฑ์ อุดมเกณฑ์ พินทุบาทว์อะไรต่างๆ ดาวพวกนี้แสดงวาสนาบารมีดีขึ้น หรือเลวลง เมื่อถึงเวลาเท่านั้น 

คำว่าวาสนาบารมีหมายความว่า เขามีโอกาสเปิดให้มากกว่าคนอื่น 

ไม่ใช่ดาวเป็นองคเกณฑ์แล้วเอามาทายชนิดที่ดาวจร ดาวเดิมทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่ได้เกี่ยวกับดาวจะดีเลิศประเสริฐศรีตลอดไป แต่เป็นเรื่องโดยรวมที่ส่งเสริม หรือ บั่นทอนเจ้าชะตาโดยตรงเมื่อมีจังหวะนั่นแหละ

..........บางเรื่องที่เป็นเรื่องก่อนหลัง ก็เกือบคล้ายกัน คือเขาจะเกิดเรื่องเมื่อถึงเวลา บางคนดาวแสดงความลำบาก ก็เพราะตอนเป็นเด็กเขายากจนอยู่ ต่อมาชะตาเขาดีเป็นเศรษฐีแล้ว ไม่มีหวนกลับไปทุกข์ยากอีก ก็ยังไปทายดาวเป็นอับปรีย์กาลีอยู่นั่นเอง ไม่ยอมเลิก ทำให้เราสับสน ทำนายดวงปัจจุบันไม่ถูก

..........เราลองคิดง่ายๆว่าอะไรควรจะมีผลมากน้อย ดูจากดวงชะตานั้นก็ได้ อย่างเช่น ลัคนาราศีหนึ่งกว้าง คนเกิดราศีหนึ่งๆมีตั้ง 1000 ล้านคน (สมมุติ) 

ดังนั้นหากดาวดวงหนึ่งๆ อยู่นานหลายปี จะมีอิทธิพลต่อบุคคลให้เหมือนๆกันได้อย่างไร 

ดวงชะตาที่เราดูเรื่องลัคนา เรือน เจ้าเรือน และดาว มุมดาว ช่วยชี้บ่งรายละเอียดเฉพาะบุคคลเฉพาะเจาะจงลงไป ก็ยังทายได้ไม่ค่อยจะชัด ถูกได้ครึ่งหนึ่งก็นับว่าบุญหนักหนาแล้ว เพราะมันเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และการกระทำของเจ้าชะตา การตัดสินใจจะทำอะไร ไม่ทำอะไร จะเลือกเดินทางไหน กรรมเก่ากรรมใหม่ อีกตั้งหลายอย่าง 

ดังนั้น อะไรที่มันกว้างมากไป ก็อย่าเพิ่งไปดูมัน จะทำให้เราทำนายได้ดีขึ้น เอาไว้เก่งกล้าชำนาญแล้ว ค่อยไปพลิกดูเก็บเป็นลูกเล่นภายหลังจะดีกว่า

..........พึงระวังไว้ว่า ผมไม่ได้บอกว่าเรี่องที่ไม่ควรเอามาคิดนั้น ไม่ใช่เรื่องสำคัญ 

อันที่จริงเรื่องต่างๆที่กล่าวมาเป็นเรื่องสำคัญอย่างเอกอุทั้งนั้น แต่มันสำคัญเมื่อเรากำลังใช้อยู่เฉพาะเจาะจง ไม่ใช่สำคัญไปทุกที่ เหมือนหมอผ่าตัดหัวใจ มีความสำคัญต่อชีวิตคน เป็นพระเอกขณะกำลังผ่าตัด แต่พอไปดูดนตรี จะไปอ้างว่าฉันมีความสำคัญต่อชีวิตคนทุกคนนั้นไม่ถูก 

เราทายยาก ก็เพราะเราไม่รู้น้ำหนักของเรื่องว่า อะไรหนัก อะไรเบา ดังนั้น ถ้าเรายังไม่ชำนาญพอ หากความหมายอะไรขัดกัน หลักเบื้องต้นคือต้องตัดอันที่มีอิทธิพลเบาออกทิ้งไปก่อน หรือลดความหมายลงให้เป็นส่วนประกอบเล็กๆน้อยๆเท่านั้น เราก็จะพบว่าทำนายได้ดีขึ้น

...........เรื่องบางเรื่องแม้จะมีผลลงละเอียดมาได้ในบุคคล แต่เป็นเฉพาะบางคนไม่ใช่ทุกคน ถ้าเราพะวงจะใช้ทุกวิชามาทำนาย เพราะเกรงว่าจะมีผลต่อดวงบุคคล ก็จะทำให้เรายิ่งสับสน เพราะจำนวนคนที่มีผลจริงๆจะมีน้อย และเกิดจากเงื่อนไขเยอะแยะ ที่ผมเขียนนี้มุ่งบอกคนที่เรียนใหม่ๆมากกว่า ส่วนคนที่เก่งแล้วคงไม่ต้องบอก

บ่น

..........พวกเราไม่ค่อยมีอะไรจะถามกัน เป็นเพราะบางคนก็เพิ่งจะเรียน ไม่รู้จะถามอะไร บางคนเรียนรู้มากแล้ว ก็อยากตามเก็บความรู้ มากกว่าจะถาม พวกนักเรียนโหราศาสตร์ก็จะเป็นเช่นนี้โดยตลอด ส่วนมากพอหมดเวลาสอนแล้วจึงมากระซิบถาม หากให้ถามเปิดเผยจะไม่ยอมถาม แปลกแท้ๆ

...........มีคำถามยอดฮิตอยู่อย่างหนึ่งคือ มักถามว่า มีดวงเรียนโหราศาสตร์หรือเปล่า จะเรียนโหราศาสตร์ต้องมีดาวอะไร 

คำถามแบบนี้ความจริงตอบง่ายๆ คือ ใครอยากเรียนก็เรียนได้ เพียงจะเรียนไปได้ลึกถึงแค่ไหน เพราะโหราศาสตร์ก็เป็นวิชาอย่างหนึ่ง การเรียนรู้โดยทั่วไป แค่ไปซื้อหนังสือมาอ่านเองก็รู้ได้แล้วโดยไม่ยาก แต่การเรียนให้ลึกซึ้งลงไปอีก ก็ต้องมีความคิด ความฉลาด มีสติปํญญาดี ซึ่งศาสตร์ไหนๆก็ต้องมีแบบนี้ทั้งนั้น 

โหราศาสตร์มีความจำเป็นอยู่ที่ว่า เมื่อเรียนเสร็จแล้วจะเอาไปทำอะไร อาจารย์ส่วนมาก ก็มักจะบอกว่าควรจะมีคุณธรรม จริยธรรม เพราะอยากได้คนดีๆมาเรียน 

แต่เราก็พบว่า ตามความเป็นจริงแล้วมักจะเป็นในทางตรงกันข้าม คือคนที่อยากมาเรียนส่วนใหญ่เห็นการพยากรณ์ เป็นเหมือนผู้วิเศษ มีคนนับหน้าถือตา พอเรียนมาก ก็มีอีโก้สูงมาก หรือยึดเอาตำรา หรือหลักวิชาไม่ยอมปล่อย มักอ้างตำราว่าอย่างนั้นอย่างนี้ บางครั้งทนใช้ ทั้งๆที่รู้ว่าผิดก็มี บางคนก็เห็นเป็นแหล่งรายได้ พูดไม่กี่คำก็ได้เงินแล้ว ทายถูก หรือผิด ก็ไม่สนใจว่าถูกผิดตรงไหน ตรงไหนฟลุ้ค ทายถูก ก็โฆษณาเสียใหญ่โต ที่ทายผิด ไม่พูดถึง ดังนั้น จึงหาคนที่มาพัฒนาโหราศาสตร์จริงๆ ไม่ค่อยมี

...........อีกคำถามหนึ่ง คือชอบถามเคล็ดลับ 
มีคำพูดที่ชอบพูดกัน โดยไม่รู้ หรือบางคนก็จงใจ คือคำว่า “ไม้เด็ด เคล็ดลับ” ไม้เด็ด ก็คือหลักวิชาที่ใช้บ่อย และได้ผล 

ส่วนใหญ่เป็นข้อสังเกตุ ที่จับกันได้ แล้วบอกต่อกันมา ทายทีไรก็ตรงไม่ผิด ใช้ได้ ฝึกบ่อยๆก็ใช้ถนัด แต่มันขึ้นอยู่กับเฉพาะคน เพราะใช้จนคล่อง 

หากเราไปตามไม้เด็ดของคนอื่นเข้า ทำให้เราพะวง พอรูปดาวเปลี่ยนไปก็ทายไม่ออก และก็เลยไม่ได้ใช้หลักวิชาที่เราเรียนมาเป็นหลัก เพราะไม้เด็ดส่วนใหญ่จะเป็นหลักที่ถูกดัดแปลงมาแล้ว พอจดจำไม้เด็ดมากๆเข้า จะทายไม่ออก..........

ส่วนเคล็ดลับ หมายถึงหลักวิชาที่ไม่มีผู้เปิดเผย จึงยังเป็นความลับอยู่ ใครจะได้เรียนก็ต้องบากบั่นกันสารพัด เสียเงินเสียทองก็มี ทำให้บางคน ปั้นเคล็ดลับปลอมๆมาบอกขาย ซึ่งบางครั้งก็เป็นหลักวิชาทั่วไปนี่แหละ แต่เราอ่านหนังสือไม่แตกเอง พอมีใครอธิบายให้ฟังใหม่ ก็จะเข้าใจ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เคล็ดลับ ถ้าเป็นเคล็ดลับจริง ต้องอธิบายที่มาที่ไปได้ด้วย นี่ถ้าเอาเรื่องนี้มาแฉหมด คงมีคนเข้ามาอ่านกระทู้นี้เยอะเลย

..........ที่ชอบถามกันนัก อีกอย่างก็คือ ทำไมทายไม่ออก 
บางคนก็เลยคิดว่าเรียนมาน้อยไป เหตุผลที่ทายไม่ออกนั้นเป็นเพราะเราเรียนมามากไป การเรียนโหราศาสตร์หรืออ่านหนังสือสักเล่มหนึ่ง เราจะเห็นว่าเขาสอนเราทุกๆอย่าง เรารู้เรื่องลัคนา ราศี เรือน ภพ องศา สารพัดเกณฑ์ สารพัดมุม มีทักษาเดิม ทักษาจร สารพัดทักษา ดาวเดี่ยว ดาวคู่ อุจนิจ เกษตรประ มหาจักร ราชาโชค เทวีโชค สารพัดโชค คู่ธาตุ คู่มิตร คู่สมพล คู่สัตรู นวางค์ ตรียางค์ พิษครุฑ พิษนาค พิษสุนัข สารพัดพิษ ฤกษ์บน ฤกษ์ล่าง กาลโยค กาลจักร ลัคน์จร อินทภาส บาทจันทร์ นี่ยังไม่หมด ยังมีพยากรณศาสตร์อีกเยอะเอามาเรียนใส่สมองกันเข้าไป หลายๆคนยังไปเรียนโหราศาสตร์อีกสารพัดระบบ แล้วเอาหลักมาคิดรวมกัน ทำให้บางคน เวลาทำนาย ก็เอามาใส่ครกตำรวมกันไปหมด สุดท้ายก็ทายไม่ได้ สมองเดี้ยง เดี๋ยวอ่านดี เดี๋ยวอ่านไม่ดี กลายเป็นหมอดู คุ้มดี คุ้มร้าย ลูกค้าต้องช่วยพาคุณหมอไปหาจิตแพทย์ แทนที่หมอดูจะเป็นฝ่ายช่วยเขา 

...........เคล็ดลับจริงๆ มีอยู่ว่า หลักวิชาแต่ละหลัก เขาใช้แต่ละเรื่องครับ บางเรื่องมีอิทธิพลต่อดวงชะตาคน บางเรื่องใช้กับสถานที่ หรืออาคารบ้านเมือง หรือดวงเหตุการณ์บางอย่าง ที่ต้องจงใจสร้างขึ้น 

บางเรื่องเป็นเพียงผล ไม่ใช่เหตุ บางเรื่องเป็นเหตุ ไม่ใช่ผล บางเรื่องมีอิทธิพลมาก บางเรื่องมีน้อย บางเรื่องมีก่อน บางเรื่องมีหลัง เราเรียนกันมาไม่ค่อยจะถูกเรื่อง อย่าว่าแต่ลูกศิษย์เลย แม้แต่อาจารย์บางท่าน ก็ไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ สอนกันมาหมด ตำราก็ลอกกันต่อๆ มา แทนที่จะสอนแต่หลักที่จำเป็น แต่ถ้าขืนทำอย่างนั้น บรรดาผู้เรียนก็คงจะด่าเอาอีกว่า สำนักนี้ไม่ยอมสอนอะไร หนังสือก็เลือกที่เล่มหนาๆ ราคาแพงเข้าไว้ ในเมื่อเป็นกันแบบนี้ ก็จะทายไม่ออก หรือทายเข้าป่าไป

...........บางแห่งที่มีสอน โหราศาสตร์ชั้นต้น ชั้นกลาง ชั้นสูง นี่ก็แสบนะ ความจริงแบ่งเอาไว้เพื่อเก็บตังค์เป็นงวดๆ เพราะโหราศาสตร์ถ้าจะแบ่งชั้นกันจริงๆ ควรจะแบ่งตามความละเอียด คือเรียนเรื่องเดียวกันนั่นแหละ แต่ลึกซึ้งลงไปอีก ไม่ใช่ ชั้นต้นเรียนอย่าง กลางเรียนอย่าง ปลายเรียนอย่าง ทำให้ดูเหมือนเรียนจบแล้วทุกอย่าง แต่ไม่รู้เรื่องเลยสักอย่าง เด็กบางคนมาเรียน สอนอะไรแกก็ไม่รับ บอกว่าเรียนมาหมดแล้ว จะให้บอกเคล็ดลับท่าเดียว ลองเอาดวงมาให้ทาย ก็ทายไม่ได้ บอกว่าตั้งแต่เรียนมายังไม่เคยลองทายเลย แบบนี้พบเยอะ บางคนก็เตรียมเงินมาฟาดหัว จะให้สอนทำนายแม่นๆให้ได้ แต่ให้อ่านดวงอะไรก็ไม่อ่านตาม สุดท้าย กลับไปก็เหมือนเดิม 

.............ว่างๆ ก็จะมาเล่าปนบ่นอย่างนี้แหละ จริงๆไม่อยากวิจารณ์ใคร แต่อยากปรับความเห็น ให้พวกเราบางคน ฟังไว้บ้าง เพราะต้องมีความเห็นที่ถูกเสียก่อน จึงจะเรียนไปได้ มิฉะนั้นเรียนไปๆ ก็ไม่ก้าวหน้าเสียที