.........โหราศาสตร์ไทยนั้น ผูกพันอย่างมากกับวัฒนธรรมไทย ในแง่ที่เป็นวิชาชั้นสูงของคนยุคก่อน เพราะเป็นวิชาของบัณฑิต แพทย์แผนไทย และบุคคลระดับสูง โหราศาสตร์เข้าถึงหลักที่แท้จริงยาก การเรียนโหราศาสตร์ในระดับสูงขึ้นไปล้วนแต่ต้องคิดมากซึ่งยากไม่ใช่เล่น
.........แนวทางที่เขาเรียนกันสมัยก่อนก็คล้ายที่เราเรียนกันนี่แหละ คือทุกคนต้องรู้องคประกอบของโหราศาสตร์เสียก่อน เหมือนเราเรียนอนุบาล ก็ต้องเรียน ก.ไก่ ข.ไข่ แล้วค่อยๆประกอบเป็นคำขึ้นมา เสร็จแล้วจึงค่อยมาเรียนสูงขึ้น โหราศาสตร์ก็เรียนเช่นนี้
แต่ถ้าเป็นในสำนักที่เขาสอนเฉพาะศิษย์จริงๆ จะไม่มีตำราวางไว้ตายตัว ส่วนใหญ่อาจารย์จะบอกวิชาให้ทีละน้อย แต่เขาจะถามเหตุผลเราทุกเรื่อง “ถาม” นะ ไม่ใช่ “บอก” เป็นการถามให้เราตอบ ถ้าตอบไม่ถูกก็จะถามอยู่นั่นแหละ เพราะคุณต้องคิดออกเอง ไม่ใช่ให้ใครมาบอก
อย่างดีคนที่ถามเขาตั้งคำถามได้ถูก คำถามนั้นจะนำความคิดเราสร้างองคประกอบของวิชาขึ้นมาได้ พอคุณตอบมากๆเข้า วันใดวันหนึ่ง คุณก็เห็นมันกระจ่างสดใส บรรลุถึงความคิดของคนที่สร้างวิชาตรงนั้นขึ้นมาชัดแจ๋วตรงหน้า อาจารย์รู้ว่าเราเห็นแล้ว ก็จะข้ามไปสอนเรื่องใหม่ เพราะโหราศาสตร์เป็นวิชาที่ต้องคิดจึงจะรู้ เป็นลักษณะเฉพาะโดดเดี่ยวแปลกลึกลับเฉพาะตัวของมันเลย เมื่อรู้แล้วก็อธิบายเป็นคำพูดให้คนอื่นรู้ด้วยลำบากมาก
..........สมัยนี้มีตำรามากมายแล้ว มีคอมพิวเตอร์ใช้ แต่คนกลับเข้าถึงโหราศาสตร์ที่แท้จริงน้อยลง ส่วนใหญ่ก็จะสะสมวิชา หรือตำราไว้มาก แต่ไม่รู้ว่าจะเอาวิชามาใช้อย่างไร
ถ้าเราหวังจะให้การเรียนกลับไปเหมือนสมัยก่อน ก็ทำได้ยาก เพราะหาอาจารย์ไม่ได้ ที่สำคัญกว่าคือ “มีอาจารย์ แต่หาลูกศิษย์ไม่ได้” ลูกศิษย์ที่จะยอมคิดอะไรเองเพื่อที่จะรู้ความจริง แทนที่จะถาม แล้วรอให้เขาบอก อาจารย์ทุกคนหาลูกศิษย์ไม่ได้มานานแล้ว คุณไม่เชื่อลองไปถามดูเถอะ โลกมันหมุนเร็วเกินไป อีกไม่กี่ปี วิชาโหราศาสตร์ไทยก็จะตายไปในช่วงชีวิตของเรานี่เอง เหลือแต่เพียงซากที่ไม่มีแก่นสารส่งต่อไปให้คนรุ่นหลัง คิดแล้วก็ใจหายเหมือนกันครับ
..........ผมมีความคิดอยากแนะนำว่าพวกเราที่เรียนเอง หรือเรียนที่อื่นมาบ้างแล้ว ถ้าตั้งคำถามให้ตัวเองคิดเองบ่อยๆ ก็เรียนได้เหมือนกัน หัดค้นคว้าให้มาก คิดให้มาก ขัดข้องค่อยถามคนอื่น กลับมาคิดอีก แล้วลองฝึกดู ทำเช่นนี้เรื่อยไป ก็น่าจะเรียนก้าวหน้าได้ดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น