วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

เหตุจากตัวเจ้าชะตา

ตอนที่แล้ว  เล่าถึงดวงเมืองกรุงเทพฯ  ที่โบราณผูกไว้ตามแบบฉบับดวงเมือง   คือเป็นดวงชะตาฤกษ์   และทำพิธีทั้งทาง พุทธศาสตร์  โหราศาสตร์  และไสยศาสตร์ นั้น     ไม่ได้มาชักจูงให้เชื่อตาม   แต่การศึกษาค้นคว้าวิชาโหราศาสตร์     เราต้องพยายามศึกษาถึงความคิด  และวิธีการของคนโบราณเสียก่อนว่าทำไปทำไม  มีเหตุผลอะไร     เมื่อรู้เหตุผลความคิดแล้ว    เราจึงสามารถเข้าไปศึกษา  หรือเปลี่ยนแปลงใดๆได้   ไม่ใช่เกี่ยวกับความเชื่อ  หรือ ไม่เชื่อ........นี่เป็นวิธีที่ถูกต้อง   และเป็นวิธีทางวิทยาศาสตร์    ที่เขาใช้กันในทางโบราณคดี

                สมัยก่อนการเรียนโหราศาสตร์   เวลาผูกดวงชะตา  หรือคำนวณพระคัมภีร์สุริยาตร์    ไม่ได้ใช้กระดาษ  แม้จะมีกระดาษใช้นานแล้ว    นักเรียนต้องเรียนด้วยกระดานชะนวน   เขียนด้วยดินสอชะนวน    

ทั้งนี้ก็เพราะว่าโบราณท่านถือว่าดวงชะตาเป็นครู    วิชาโหรก็เป็นครู    ตัวเลข  ตัวหนังสือก็เป็นครู   เขาจะไม่เดินข้ามหรือเหยียบย่ำ     หากเขียนในกระดาษก็ต้องฉีกทิ้ง   หรือเผาไฟ   ท่านไม่ทำเพราะถือ      หากจะเขียนเก็บไว้  ก็ต้องจารไว้ในแผ่นทองหรือ แผ่นเงิน   การเขียนในกระดานชะนวน  หรือกระดาน  ด้วยชอล์ค    เวลาลบ   ก็ลบด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆเท่านั้น 

             คนไทยหลายคนคงจะมีพระเครื่องแขวนคอ     เพื่อคุ้มครอง    เป็น พุทธานุสติ  หรือบางคนก็อาจสักยันต์เอาไว้เพื่อความอยู่ยง คงกระพัน หรือ  แคล้วคลาดปลอดภัย      

ทำนองเดียวกัน    ดวงเมืองนั้น   โบราณสร้างด้วยประโยชน์หลายอย่าง  อย่างหนึ่งคือเพื่อประโยชน์ในทางคุ้มกันศัตรูที่อาจมารุกราน   ดวงชะตาฤกษ์ที่ผูกโดยโหราศาสตร์นั้นเป็นตัวแทนของเมือง   หรือตัวเจ้าชะตา    พิธีกรรมทางพุทธศาสตร์   และไสยศาสตร์  ทำให้ดวงชะตาฤกษ์นั้น   เป็นเครื่องรางคุ้มภัยของเมืองด้วย   เหมือนเมืองมีพระเครื่องหรือสักยันตร์เอาไว้     เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อเป็นเรื่องของเรา    แต่การศึกษาความคิดของคนโบราณเช่นนี้จะทำให้เราเข้าใจถึงหลักวิชาโหราศาสตร์ดั้งเดิมได้ดีขึ้น    เมื่อดูจากวิธีผูกดวง  วางดาว  และวางฤกษ์

                ในดวงชะตาคน      ดวงกำเนิดทางธรรมชาติ  ก็มีลักษณะเช่นนั้นได้  หากธรรมชาติ  วางดาว  วางลัคนามา  เป็นโครงสร้างที่ดี  และมั่นคง    เหมือนบ้านหลังหนึ่ง   หากปลูกสร้างด้วย  ปูนไม้เหล็กที่เป็นโครงแข็งแรง   เมื่อถูกลมพายุ  ย่อมพังยากกว่าบ้านที่ปลูกสร้างอย่างเปราะบาง     

ในดวงชะตาบุคคล   กลุ่มดาวจตุโกณ  หรือที่โบราณเรียกว่า  เป็ น  1  4  7  และ   10  แก่ลัคนา  มีทั้งดีและไม่ดี     ไม่ดี  หากเป็นดาวที่ร่วมกันเป็นคู่ศัตรูที่ขัดแย้งกัน  ชีวิตมักแตกหัก  ล่มสลาย   ตกจากอำนาจ    แต่จะดี  หากดาวเป็นมิตรต่อกัน    เรียกว่า “ดวงแข็ง”    ซึ่งจะเป็นดวงที่มีความเข้มแข้งต่อการโจมตีของพายุ  “สิ่งแวดล้อม”     

แต่จะเป็นแบบใด  ขึ้นอยู่กับดาวและคุณสมบัติของดาว     
พวกดาวบาปเคราะห์จะให้ความอยู่ยงคงกระพัน   
ส่วนดาวศุภเคราะห์จะให้ความคุ้มครองแคล้วคลาด   ถึงจะมีดาวไม่ครบสี่ตำแหน่งก็ตาม    แม้มีเหตุร้ายก็ไม่ถึงวิบัติ   เช่น  ถูกศัตรูทำร้ายก็รอดได้     หรือติดเชื้อโรค   แล้วรักษาหาย    

ในขณะที่กลุ่มดาวตรีโกณ   หรือ  เป็น  1  5   9   
หากเป็นดาวไม่ดี   ก็อาจถูกซ้ำเติมเมื่อชะตาตกต่ำ  แต่ก็ยังมีส่วนดีอยู่     
เมื่อเป็นดาวกลุ่มให้คุณ    ก็จะให้ความช่วยเหลือ  เมื่อมีเหตุคับขัน    เช่น   เดือดร้อนเงินแล้วมีคนช่วย หรือถูกลอตเตอรี่    ตกยากลำบากจะมีคนชี้ทางให้    หรือแม้บาดเจ็บก็มีคนพบ  และนำส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงที      

ดังนั้น  โหรบางท่านเวลาดูดวงแล้วเห็นรูปดาวแบบนี้  ก็มักจะทายว่า  เมื่อถึงเวลาก็จะมีคนช่วยเอง   แม้ขณะนี้จะมืดแปดด้านก็ตาม

                รูปดาวแบบนี้  ถือเป็นดวงบารมี ขั้นต้นๆ  ที่เราควรทราบไว้    บารมีเกิดจากการทำกรรมดีมาก่อน   ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาเองฟรีๆ    เช่น หากเราหมั่นช่วยเหลือคนอื่น  ไม่เห็นแก่สิ่งตอบแทน   เมื่อถึงเวลาคับขัน  ก็จะมีคนมาช่วยเหลือเรา   

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร   เพราะเวลาเราช่วยคนอื่น  เท่ากับเราก่อโครงสร้าง “ความช่วยเหลือ”  ที่มองไม่เห็นในดวงชะตา  สะสมไว้กับชีวิตเรา     

เมื่อถึงเวลาที่เราต้องการความช่วยเหลือ  โครงสร้างนั้นก็จะหมุนมา   เป็นช่องดึงดูดให้ผู้คนอยากช่วยเหลือเรา     นี่คือ  กลไกกฎแห่งกรรม   ที่โหราศาสตร์รู้มานานแล้ว    หากโครงสร้างนี้ยังคงติดไปกับเราอยู่    ก็จะกลายเป็นบารมีให้เราในชาติหน้า   และเห็นได้ในดวงชะตา   เมื่อเวลาเราที่เราเกิดมา

เรามาลองดูเหตุผลในความมั่นคงที่เกิดจากรูปดาวแบบนี้ว่าเป็นเพราะอะไร   

ในดวงประเภทดาวเป็นจตุโกณ  ทำให้ดาวมีกำลังเข้าร่วมกับลัคนา    แต่โดยดาวแยกกันอยู่   
ดังนั้นเมื่อมีดาวเป็นโทษโคจร   เข้าโจมตีจุดใดจุดหนึ่ง      ดาวในตำแหน่งอื่นๆ ก็ยังคงดำรงคงอยู่ค้ำจุนไว้ได้     หรือแม้จะถูกโจมตีทุกจุดพร้อมกัน   แต่โอกาสที่จะรุนแรงพร้อมกันนั้นยาก   และดาวในตำแหน่งนี้จะมีปฏิกิริยาตอบโต้ดาวจรได้อย่างมีกำลัง    ทำให้เป็นผลเหมือนอยู่ยงคงกระพัน  และ  แคล้วคลาด

.......ส่วนดาวที่เป็นกลุ่มตรีโกณ  หรือ โยค  เป็นกลุ่มตรีโกณร่วมธาตุ    ดังนั้น  แม้มีเหตุโจมตี ธาตุจุดหนึ่งให้อ่อนลงไป   เหมือนไฟดับ    ดาวที่อยู่ในตรีโกณจะยังกระตุ้นธาตุให้แก่ดวงชะตาเป็นไฟสำรอง        แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของดาว  และลัคนาเอง

                ดังที่บอกแล้วว่า  ทั้งรูปดาวกลุ่มจตุโกณ  และตรีโกณ  เป็นการคุ้มกันจากเหตุที่เป็น “สิ่งแวดล้อม” นอกตัวเจ้าชะตา   

แต่จะมีเหตุที่ป้องกันไม่ได้   ซึ่งจะเกิดจากกรรม  และเจตนา  คือการกระทำของเจ้าชะตานั่นเอง    เหมือนคนแขวนพระหนังเหนียวเท่าไร  แต่ไปกระโดดตึกฆ่าตัวตายเสียเอง    พระเครื่องก็คุ้มกันไม่ได้

........เหตุประเภทนี้เรียกว่าเหตุจาก “ตัวเจ้าชะตา”    ซึ่งเกิดจากจุดเจ้าชะตาทั้งหลายถูกทำลาย   จุดเจ้าชะตา  เช่น  ลัคนา  ตนุลัคน์  ตนุเศษ   อาทิตย์  จันทร์  เป็นต้น  

หากพื้นดวงไม่เข้มแข็ง     เมื่อถูกดาวจรร้ายๆโจมตี  จะทำให้เจ้าชะตาตัดสินใจผิด   ควบคุมตนเองไม่ได้  หรือ  ขาดเหตุผล   เช่น    ฆ่าตัวตาย    ลาออกจากงาน    หรือ   เป็นโรคภัยที่เกิดจากอวัยวะภายในร่างกายเสียเอง  ไม่ใช่เชื้อโรคจากสิ่งแวดล้อม   

ดังนั้น  เมื่อมีดาวให้โทษ  เข้าโจมตีจุดเจ้าชะตา   ต้องพึงระวังที่ตัวเจ้าชะตาเองเป็นสาเหตุใหญ่  ไม่ใช่เหตุจากภายนอก     และโครงสร้างดาวบารมีก็ไม่คุ้มกันให้   หากโครงสร้างมาไม่ถึง

ไม่มีความคิดเห็น: