ตอบ ..........การตั้งชื่อทางโหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ มีหลักเกณฑ์ แต่ไม่ถึงกับเป็นกฏนะครับ เพราะเป็นเรื่องความพึงพอใจเฉพาะตัวบุคคล ใครอยากจะตั้งชื่ออย่างไรก็ไม่มีใครห้าม แต่ผมเห็นว่าคนสมัยนี้ อ้างโหราศาสตร์กันเกินไป เอะอะอะไรก็ “โหราศาสตร์” จนถึงเอาไปหลอกคนให้เปลี่ยนชื่อเพื่อโน่นเพื่อนี่ ให้รวย ให้เลื่อนตำแหน่ง คุณถามมาก็ดีแล้ว จะได้ถือโอกาสอธิบายเสียเลย ว่าโบราณมีหลักคิดอย่างไร ผมเขียนไว้ว่า
ทางไสยศาสตร์นั้น “มักจะการเทียบเคียงเสียงพ้องการเรียกขาน อย่างเช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เพราะมีคำว่า “ทอง” ซึ่งต่างจากโหราศาสตร์จะถือเป็นเพียงขนมหวาน หรืออย่างไสยศาสตร์ จะแนะให้ปลูกไม้มงคล เช่น มะยม มะขาม เพื่อให้ เกิดความ “นิยม” และคน “เกรงขาม” ในขณะที่โหราศาสตร์มองตรงว่าเป็นเพียงต้นไม้มีผลกินได้เท่านั้น ไสยศาสตร์ถือ เลข “ 9 ” ว่าดี เพราะพ้องเสียงกับคำว่า “ก้าวหน้า” เลข “ 6 ” ไม่ดี เพราะพ้องกับคำว่า “หกคะเมน” จึงมีนักโหราศาสตร์ที่ไม่รู้เรื่องบางคน เอามาวางเวลาฤกษ์ กลายเป็นมอมเมาค่านิยมผิดๆให้แก่สังคม ทั้งๆที่ทางโหราศาสตร์ไม่ได้ถือ หากจะถือกันแล้ว การวางเลข 6 อาจจะรวย แต่เลข 9 อาจจะเสียด้วยซ้ำ”
ข้อแรก การตั้งชื่อทางไสยศาสตร์ จะเอาความหมาย เช่น “อัจฉรา” นางฟ้า เพราะไสยศาสตร์ยึดผลทางความรับรู้ของจิต และชีวิต เมื่อถูกเรียก เมื่อชื่อดีแปลดี ก็มีผลได้เหมือนให้พร หากชื่อไม่ดี เช่น “อัปรีย์” “ทรพี” เมื่อถูกเรียกบ่อยๆ เหมือนถูกแช่งด่า ข้อสอง........ไสยศาสตร์ถือคำพ้องเสียงด้วย เช่น “เรวดี” ฟังเหมือน “เลวดี” “สหัส” ฟังเหมือน “สาหัส"” ทำให้เหมือนถูกแช่งด่าอีกเหมือนกัน ไม่เป็นมงคล ข้อสาม.....ไสยศาสตร์จะห้ามการตั้งชื่อที่ไม่สมกับตน เช่น ขอทานไร้ที่พึ่ง แต่ตั้งชื่อว่า “อมรินทร์” “เทพ” “เทวา” หรือคนง่อย ไม่เต็มเต็ง แต่ตั้งชื่อว่า “บวรเดช” “ไอศูรย์” คนจนๆธรรมดา แต่ตั้งชื่อว่า “ฮ่องเต้” หรือ “ศุภกษัตริย์” หรือคนต่ำช้า ตั้งชื่อว่า “สรรเพชร” (คำไวพจน์ พระนามพระพุทธเจ้า) ตั้งแบบนี้โบราณถือมาก ว่าอัปรีย์จะกินหัว ตอนเป็นเด็กก็เลี้ยงยาก เจ็บออดๆแอดๆอาจจะตายเสียก่อน เพราะชื่อสูงเกินไป ดวงไม่ถึง เขาจึงมักตั้งชื่อชาวบ้านว่า ***หมา อีแมว ***แก้ว หรือ ชื่อต้นไม้ ดอกไม้ ผลไม้ ฟักแฟง แตงโม ให้เลี้ยงง่าย
ข้อสี่....ไม่ใช้คำในชื่อที่มีเสียงตรงกับดาวที่อ่อนกำลังในดวงชะตาหรือทุสถานะ เป็น ประ นิจ กาลกิณี อริ มรณะ วินาสน์ เช่น “ประชัย” “อรรถนิตย์” “ ธารวิชนี” “อริราช” “มอญ” “ริปูวินาสน์” แม้จะแปลดี แต่เสียงเพี้ยน หรือถูกเรียกสั้นๆแล้วไม่เป็นมงคล อะไรแบบนั้น ส่วนคำว่า “ศรี” “มนตรี” “เดช” “ศุภ” “ลาภ” ไม่เป็นไร จะเห็นว่าคำมา จากชื่อภูมิและ เรือนมหาทักษา แต่ไม่ใช่ใช้อักขระ ส่วนหลักอื่นเป็นเรื่องของอักขรวิธี และเรื่องลับทางวิชาไสยศาสตร์ ขอไม่พูดถึงตรงนี้ ส่วนใหญ่หลักการตั้งชื่อที่บอกมา ผูใหญ่สมัยก่อนจะรู้กันทุกคน
ทีนี้มาทางโหราศาสตร์บ้าง โหราศาสตร์นั้นตั้งชื่อยาก ต้องเข้าใจว่าโหราศาสตร์เองแท้ๆ ไม่ได้ถือเรื่องชื่อ แต่ที่นำมาเป็นหลักเกณฑ์คือปัจจัยที่ได้มาจากโหราศาสตร์เท่านั้น ข้อแรก.....โหราศาสตร์อ้างอิงวงรอบธรรมชาติ เวลา และสถานที่เกิดว่ามีผลต่อดวงชะตา จึงมักตั้งชื่อตามปัจจัยที่เป็นธาตุตัวแทนเจ้าชะตา และดวงชะตา เช่น ชื่อ “จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ” “ศศิ” ตามวันเกิด หรือ “มกร กุมภ์ มีน....”ตามราศี หรือ “มุสิก ภุชงค์ อาชา.....”ตามนักษัตร หรือ “อุบล อุดร ทักษิณ......”ตามทิศ หรือ “นคร เพชร ปทุม......” ตามท้องถิ่น โดยอาศัยเอาดาว หรือเรือนที่เข้มแข็งให้คุณมาตั้ง เพื่อให้เกิดผลทางโหราศาสตร์แก่ดวงชะตา ข้อสอง......ต้องเรียกง่าย ไม่สะดุดลิ้น เพราะการเรียกชื่อแล้วไม่ราบรื่น คือ อริ มรณะ วินาสน์ เกิดเป็นอุปสรรคดังนั้นจึงห้ามตั้งชื่อที่เรียกยาก ประเภทเรียกยาก ออกเสียงลำบาก แปลยาก เช่น “นฤคหต” ถือว่าชีวิตจะมีอุปสรรค ให้ตั้งชื่อเสียงไพเราะ เป็นเสียงดนตรี คล้องจอง ไพเราะ ชีวิตจะได้สะดวกราบรื่น เป็นต้น ข้อสาม.....มีความหมายเข้าใจง่าย ไม่เข้าใจผิด เพราะเข้าข่ายการหลอกลวง คือ ราหู หรือ เนปจูน (ในโหรฝรั่งก็ถือ) ซึ่งเป็นดาวบาปเคราะห์ ข้อสี่......ให้ใช้ปัจจัยที่เป็นตัวเจ้าชะตา เช่น ชื่อ “บัณฑิต” เพราะดวงชะตาจะได้บวชเรียน ชื่อ “ชาญวุฒิ” เพราะจะเรียนจบปริญญา ชื่อ “ศุภลักษณ์” เพราะจะเป็นคนสวย อะไรแบบนี้ ท่านให้ตั้งชื่อตามกรรมที่เป็นตัวเจ้าชะตา ชีวิตจะได้ดำเนินไปถูกวิถีชีวิต ข้อห้า...... ไม่ตั้งตามดาวที่เสียหายอยู่ เช่นในดวง มีอังคารกุมเสาร์ ก็ไม่ให้ตั้งชื่อว่า “อังคาร” หรือ “เสาร์” แต่ให้ตั้งตามดาวที่ดี ธาตุที่ดี เช่น “สุริยา” “วารี” “ปฐพี” และยังมีอะไรอีกมาก แต่หลักๆ ก็เป็นไปตาม 4 – 5 ข้อนี่แหละ
ในกระทู้หลังๆมานี้คุยแต่เรื่องยากๆ จึงอยากเปลี่ยนเรื่องเบาๆบ้าง ระยะนี้มีเรื่องที่พูดถกเถียงเรื่อง “จรรยาบรรณ” อยู่หลายแห่ง ทั้งในระดับประเทศ การเมือง ทีวี ลงมาถึงเว็บโหร 2 – 3 เว็บ ฟังอ่านแล้วก็สนุกดี เพราะคิดกันไปต่างต่างนานา เรื่องจรรยาบรรณ หรือ มารยาทโหรนั้น ที่จริง ไม่มีที่ไหนบัญญัติเอาไว้ แต่ที่เราไปยกเอาโคลงกลอนที่ท่านแต่งเอาไว้เตือนใจ เช่น “ทายเมียผัว เรื่องชั่วดี ทายชีวีวิบัติตัดชันษา ทายคุณโทษทารกทาริกา เรียนโหราครูห้ามการทำนาย” แบบนี้ คนไม่ค่อยรู้เอาไปเถียงกันมันก็ฟังน่าแปลกอยู่
อันนั้นเขาเอาไว้สอนนักเรียนครับ เหมือนให้เด็กท่องอาขยานชั้น ป. 1 แต่เราเอามาอ้างระดับผู้ใหญ่ มันคนละเรื่อง คนที่เรียนใหม่ยังไม่รู้เรื่องก็สอนเอาไว้ก่อนสั้นๆ แต่คนที่รู้เรื่องแล้ว ต้องพิจารณาไปหมดทุกเรื่อง ผมเคยบอกเอาไว้แล้วว่า คำสอนเหล่านี้ถูก ที่ถูกนั้นเพราะตามหลักแล้ว คนที่ไม่รู้เรื่องโหราศาสตร์ดี ทายผิดมั่งถูกมั่งเหมือนคนหัดใหม่ หรือ หมอดูใหม่ ทายแล้วผัวเมียเขาตีกัน แยกกัน ทายเด็กแล้วพ่อแม่เกิดอคติทั้งทางดี และไม่ดี พาลเกลียดหรือหลงลูก ทายแล้วคนป่วยว่าจะตายเลยพาลลาตายไปจริงๆ แบบนี้เป็นบาปเป็นกรรม แม้เรารู้เรื่องดีแล้ว หากเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเสีย แต่การที่ยกเอาคำว่า “......ครูห้ามการทำนาย.....”มาอ้าง มาเถียงกัน คนวงการอื่นเขารู้จึงดูถูกตายชักเลย ว่ามันกอดตัวหนังสือกันแบบนี้นี่เอง ลองสมมุติดูเถอะว่า หากเราเป็นผู้ที่ไม่รู้โหราศาสตร์เลย แล้วต้องให้คนมาบอกไหมว่า เราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หากพูดอะไรออกไปแล้วอาจมีผลเสียได้เช่นนั้นเช่นนี้ เราควรจะพูดหรือไม่
จริงๆแล้ว การที่จะทำนายอะไร ไม่ว่าเฉพาะ 2 – 3 เรื่องนี้หรอก คนที่มีวุฒิภาวะ ก็ต้องพิจารณาทุกเรื่องไปว่า ที่เราทำนายไปเราก็ไม่แน่ใจว่ารู้จริงๆ ไปยุให้เพื่อนทะเลาะกัน หรือไปแนะให้เขาออกจากงานมาลงทุนจนเจ๊ง ไปแนะให้เขาใจเย็นไม่ทำงานจนถูกไล่ออก แบบนี้ก็เป็นเวรเป็นกรรมทั้งนั้น หมอดูนั้นผิดศีลข้อ 4 ตั้งแต่เริ่มเปิดปากพูดแล้ว ดังนั้น เขาจึงต้องพยายามตั้งใจให้บริสุทธิ์ ตัดอคติ โลภ โกรธ หลงทิ้งไปบ้าง และพยายามตั้งใจช่วยผู้อื่นให้บริสุทธิ์ มีครู ไหว้ครู ไหว้พระให้คุ้มครอง เชื่อว่าผลบุญที่กระทำ กับการที่มาแบกรับกรรมจากการผิดศีลมุสา พูดผิด เพื่อยังประโยชน์แก่คนส่วนใหญ่ จะเป็นบารมีคุ้มครองเราต่อไป ที่จริงไม่มีครูไหน ห้ามทำนายอะไร แต่ว่าจะทำนายอะไรก็ตามก็ต้องพิจารณาผลจากคำพูดของเราทั้งนั้น ว่าจะทำให้บ้านเมืองแตกตื่นเสียหายไหม คนอื่นเขาจะทุกข์มากหรือเปล่า ถ้าเขาไม่ได้มาขอให้ทายควรจะทายไหม
แม้แต่เรื่อง ฤกษ์ ก็เหมือนกัน ที่ว่าโบราณท่านแช่งว่า “.....ให้ฤกษ์ผิด (คนให้ฤกษ์) จะตาบอด” ก็เอาไว้เตือนพวกมือมั่ว ให้ระวังเท่านั้น ยิ่งสมัยนี้คนไม่รู้เรื่องฤกษ์ แต่ซื้อหนังสือมาเปิดให้ฤกษ์กันเป็นทิวแถว เพราะรายได้ดี และ ก็ไม่เข้าใจว่าอะไรคือฤกษ์ คนที่เขารู้จริงๆว่าอะไรคือ ฤกษ์ ฤกษ์คืออะไร ไม่ต้องไปเตือน เขาก็ต้องระวังอยู่แล้ว พอเรียนเรื่องฤกษ์จบ ก็แทบไม่กล้าให้ฤกษ์ใครเลย เหมือนกับคนเรียนเรื่องระเบิดแสวงเครื่อง หากรู้เรื่องดี เมื่อประกอบระเบิดแล้วก็ไม่มีใครกล้าไปวางให้ลูกเล่น
ไหนก็เขียนเรื่องนี้แล้ว อยากพูดเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่พวกเราเข้าใจผิดกันมาก คือเรื่อง “โหรทายหนู....” หลายคนคงรู้แล้ว เป็นเรื่องนิทานหลายเวอร์ชั่น ทำนองว่า สมัยพระเจ้าปราสาททอง หรืออยุธยา มีโหรแม่นมาก เกิดการท้าลองดี พอดีมีหนูตกลงมาตัวหนึ่ง พระราชาเลยเอาขันครอบไว้ให้ทายว่ามีหนูกี่ตัว โหรทายว่า 5 ตัว พอเปิดออกมาแม่นเป๊ะ เพราะหนูมันออกลูกออกมา อีก 4 ตัว เลยได้ตั้งเป็นพระโหราธิบดี นี่ก็เป็นนิทานเอามาเล่ากันต่อๆ น่าจะแต่งโดยคนที่ไม่รู้โหราศาสตร์ เพราะนิทานเรื่องนี้ผิดหลักโหรอยู่อย่างหนึ่ง เป็นเรื่องที่สำคัญกว่า จรรยาบรรณที่กล่าวมาแล้วเสียอีก เพราะเข้าใจกันผิดๆ
โหราศาสตร์ไทยนั้น จะไม่ทายสิ่งที่เรารู้เรื่องดีอยู่แล้ว หรือสามารถแสวงความรู้นั้นง่ายกว่า นี่เป็นหลักการสำคัญทีเดียว เช่นกรณีข้างต้นหาก ให้โหรทำนาย โหรจะไม่ทาย แต่จะขอให้เปิดขันออก นับดูว่ามีหนูจริงๆกี่ตัว หรือหากให้ประชันขันแข่ง ไม่ว่าโหรไทย พม่า มอญ ลาว ก็จะยอมแพ้ ไม่ทำนาย ไม่ประชันขันแข่งกัน พอๆกับบังคับให้พระเคร่งๆ ฉันข้าวเย็น จับมือสีกา ท่านจะไม่ทำ โหราศาสตร์ไม่ได้มีไว้เพื่อทำนาย และแข่งขันโอ้อวด หรือหากจำเป็นก็มีไว้ เพื่อทำนายสิ่งที่ต้องการรู้ แต่ไม่อาจรู้ได้ อะไรที่รู้แล้ว รู้จริงได้จากทางอื่น หรือรออีกสักหน่อยจะรู้ความจริง โหรจะไม่ทำนาย (เว้นแต่สอบดวงชะตา) ดังนั้น พวกเราหลายคนที่ชอบให้ทายเล่นๆว่า ผมมีพี่น้องกี่คน มีแฟนกี่คน หรือได้อะไรมา มีเงินในกระเป๋าเท่าไร หากคุณรู้อยู่แล้วหรือทายกันเล่น โหรที่เคร่ง ท่านจะไม่ทาย บางคนรู้อะไรอยู่แล้ว เช่น ได้เงินเดือนขึ้นแล้ว ได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว มีสามีแล้ว มีลูกแล้ว แต่แกล้งมาขอให้โหรทำนาย ถามว่า เดือดร้อนจริงๆครับ เมื่อไรจะได้เงินเดือนขึ้น เมื่อไรจะเลื่อนตำแหน่ง เมื่อไรจะพบแฟนเสียที แล้วจะมีลูกไหม สอบได้เกรดอะไร เพื่อจะหลอกลองดูเล่น แบบนี้ถือว่าเป็นบาปกรรม เป็นการทำบาปต่อโหรที่ท่านอฐิษฐานไว้ว่าจะอุทิศตนช่วยเหลือผู้คนที่เดือดร้อน แล้วสละเวลามานั่งคิดให้ ดังนั้น การใช้โหราศาสตร์ ครูอาจารย์ท่านจึงอบรม ให้ใช้เมื่อจำเป็น ไม่ใช้พร่ำเพรื่อทั่วไป และใช้ด้วยวิจารณญาณอย่างสูงสุดทุกครั้ง แต่ก่อนเราจึงมักจะดูดวงชะตากันเพียงปีละครั้ง นอกจากคนป่วย คนมีทุกข์ร้อน จึงดูได้เสมอ
อีกเรื่องแถมท้าย คือเรื่อง “ยามอุบากอง....” เป็นนิทาน ที่ว่า “อุบากอง” เป็นนายทัพพม่าถูกจับมาเป็นเชลย สามารถหนีคุกไทยกลับไปพม่าได้ เพราะใช้ยามอุบากอง ตามกลอนว่า “ศุนย์หนึ่ง อย่าพึงจร แม้นราญรอน จะอัปรา ศูนย์สองเร่งยาตรา จะได้ลาภสวัสดี..........” อะไรนั่น ถึงกับอุบากองเอาตารางยามมาสักไว้ที่โคนขา ชอบเอามาอ้างกันนัก ลองคิดดูง่ายๆก็ได้ว่า อุบากองเป็นถึงระดับนายทัพพม่า จำยามอุบากองเป็นตาราง 4 – 5 ช่อง มีกากะบาดง่ายๆไม่ได้ ขนาดต้องสักไว้กับโคนขา ทีคำกลอนไขปริศนายาวกว่ามากมันดันจำได้ ปัญญาอ่อนแบบนี้ พม่าไม่ต้องบุกมาถึงอยุธยาหรอก เอาแค่ออกจากหงสาวดีก็สะดุดก้อนกรวดหัวทิ่ม โดนช้างเหยียบแบนไปก่อนแล้ว.....ไม่รู้อะไรเชื่อกันอยู่ได้
จะเห็นเรื่องแปลกได้ในสังคมโหรเมืองไทยของเรานี้อย่างหนึ่งก็คือว่า อะไรที่เป็นเรื่องหน่อมแน้ม ไม่น่าเชื่อ หรือไม่ควรเชื่อ กลับกอดตัวหนังสือเชื่อกันเป็นตุเป็นตะ ขนาดเอามาวิจารณ์กันใหญ่โต แต่อะไรที่เป็นเรื่องสำคัญ เป็นข้อที่ต้องระวัง ขนาดศีลขาด เช่น การวางฤกษ์ การทำนายดวงชะตา การวิจารณ์ดวงเมือง การตั้งชื่อ เป็นต้น ที่สมัยก่อนคนโบราณระวังกันมาก พวกเรากลับทำกันเป็นเหมือนของเล่น ดูแล้วก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าการเรียนการสอนวิชานี้มันแย่ หรือคนเดี๋ยวนี้แย่ หรือคนสมัยก่อนมันแย่กันแน่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น