วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

เจ้าเรือน

ถาม
เรียนอาจารย์วรกุล ผมมีเรื่องสงสัยเรื่องดาวเจ้าเรือนที่ใช้พยากรณ์แบบเรือนชะตาครับ 
( ใช้ปฎิทินตำแหน่งดาวจริงบนท้องฟ้า)

* เรือนชะตาเมื่อตั้งโดยใช้ลัคน์เป็นจุดตั้งต้นเรือนที่1 แล้วทำให้เรือนชะตาคร่อมราศีจริงๆบนท้องฟ้า จึงมีเรื่องสงสัยครับว่าเราจะพิจารณาดาวอะไรเป็นดาวเจ้าเรือนครับ

ตัวอย่าง: ลัคน์อยู่ 25 องศาราศีกรกฎ , 25องศาราศีสิงห์ - 24 องศาราศีกันย์ เป็นเรือนที่2 (เรือนกดุมภะ:การสะสม) ผมสงสัยว่าดาวอะไรเป็นดาวเจ้าเรือนกดุมภะครับดาวอาทิตย์หรือดาวพุธ
หรือมีหลักพินิจฉัยดาวเจ้าเรือนอย่างไรครับ 

* การพิจารณาความเป็นไปเรื่องกดุมภะ: 
หากมีดาวA เป็นดาวลอยอยู่ในเรือนกดุมภะ ที่ 20 องศาราศีกันย์ 
กับ ดาวB อยู่ 25 ราศีพิจิกทำมุม 90 องศากับเส้นแบ่งเรือนกดุมภะ 
กับดาว C ที่เป็นดาวเจ้าเรือนที่มีมาตรฐานสูง 

ผมสงสัยว่าดาว A B C ดาวดวงใดมีอิทธิพลบอกความเป็นไปดามความหมายของเรือนกดุมภะมากที่สุดครับ แล้วในทัศนะคติที่ถูกต้องเรานำดาว A B C มาใช้พยากรณ์เรื่องกดุมภะอย่างไรครับ

* ดาวเจ้าเรือนเรานำมาใช้พยากรณ์เพื่อบอกความเป็นไปของเรื่องต่างๆตามความหมายนั้นๆได้ดี เช่นดาวเจ้าเรือนกดุมภะมีมาตรฐานสูง อยู่ในตำแหน่งที่ดีเจ้าชะตาควรมีฐานะการเงินที่ดี แต่ทำไมพบมาเจ้าชะตามีฐานะการเงินไม่ดี ชีวิตมีปัญหาขัดสนเรื่องเงินทองตลอด

* มาตรฐานดาวที่ถูกต้อง ต้องเป็นมาตรฐานดาวที่มาจากตำแหน่งดาวจริงบนท้องฟ้าใช่หรือไม่ครับ หากตำแหน่งดาวบนดวงกระดาษตำแหน่งดาวไม่ตรงตำแหน่งราศีตำแหน่งดาวจริงๆบนท้องฟ้า มาตรฐานดาวก็เพี้ยนไปผิดคนละมาตรฐานเลยใช่หรือเปล่าครับ 

* หากดาวศุกร์บนท้องฟ้าอยู่29องศาราศีพฤษกถือว่าดาวศุกร์มีมาตรฐานเกษตรแม้ว่าใกล้จะเข้าราศีมิถุนก็ตาม ?

* หากดาวเจ้าเรือนบนดวงกระดาษคลาดเคลี่ยนไปไม่ตรงราศีจริงบนท้องฟ้า การพิจารณาเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องก็จะพลาดไปด้วยใช่หรือไม่ครับ เช่น ตนุเศษก็ผิด รวมถึงระบบธาตุด้วยใช่หรือไม่ครับ

รบกวนอาจารย์ช่วยตอบไขข้อกังขาให้กระจ่างดัวยครับ

ตอบ

****ข้อแรก
........ดวงชะตาอย่างที่คุณว่า เป็นดวงแบบ “ภวจักร” อย่างหนึ่ง ดวงภวจักรมีหลายแบบมากมาย เกิดจากการแบ่งเรือนโดยมีจุดกำเนิดเรือนที่ต่างกัน 

ชาวโหราศาสตร์ไทยกลุ่มที่ใช้เรือนชะตาจากราศี ที่เราเรียกว่า “ดวงอีแปะ” จึงเรียกเรือนที่ดวงภวจักรใช้ว่า “ภพ” เพื่อไม่ให้สับสนกับระบบเจ้าเรือนของไทย

แม้จะมีผู้เรียกดวง “ภวจักร” ว่าเป็นโหราศาสตร์ไทย แต่ก็ไม่ตรงกับตำราดั้งเดิมของไทย ผมขออธิบายให้ทราบเพียงเท่านี้

.........ดวงภวจักร ส่วนมากไม่ได้อ่านระบบเจ้าเรือนครับ แต่อ่านดาวลอยในภพ อ่านแบบเดียวกับการอ่านระบบดาว แบบที่ผมอธิบายมาแล้ว

.......เช่น อังคารอยู่ภพที่ 3 เจ้าชะตาขยันเข้าสังคม อะไรแบบนี้.......แต่การอ่านระบบเจ้าเรือนของเขาก็มี เป็นการกำหนดใหม่ ไม่อยากเอามากล่าวถึง

***ข้อสอง
........ดาวเจ้าเรือนเป็นดาวที่มีอิทธิพลต่อเรือนสูงสุดครับ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีมาตรฐานสูงหรือไม่ 

ส่วนดาวที่มาสถิตเรือนกดุมภะ หรือ มาทำมุม 90 องศากับเส้นแบ่งเรือนนั้นคุณเข้าใจผิด ขอให้ดูคำตอบในข้อต่อไป ประกอบด้วย

.......ดาวที่มาอยุ่ในเรือนกดุมภะ มี 2 บทบาท 
หนึ่ง.......ในระบบเจ้าเรือน มันเป็นเจ้าเรือนใด เอาเรือนนั้นมาสัมพันธ์กับกดุมภะ 
สอง......ในระบบดาว ตัวมันเป็นดาวดวงหนึ่ง สามารถเกิดมุมดาวกับดาวดวงอื่นๆได้

.......สุดท้ายคือดาวที่ทำมุม 90 องศากับเส้นแบ่งเรือน ไม่มีผลอะไร กับกดุมภะเลย เพราะราศีเป็นเพียงเรือนสถิตของดาว ไม่เกี่ยวกับมุมอะไรจากดาวอื่น

***ข้อสาม
.........ดาวเจ้าเรือนกดุมภะมีมาตรฐานอยู่ในตำแหน่งดี แต่เจ้าชะตามีฐานะไม่ดี ขัดสนเงินทองนั้นมีหลายเหตุผลครับ เอาเหตุผลสามัญก่อน เช่น 
หนึ่ง......ยังไม่ถึงเวลาจะดี เช่น บางคนยากจนอยู่ แต่ไปสู้แล้วรวยภายหลัง 
สอง.....รายจ่ายเยอะกว่ารายได้ เล่นพนันแหลกลาญ

........เหตุผลทางดาว อาจไม่ดีจริง มีดาวเป็นคู่ศัตรู หรือมีอุปสรรคขัดข้องเกี่ยวข้องมากมาย เป็นได้ทั้งนั้น อ่านข้อต่อไปด้วย

***ข้อ สี่
.........มาตรฐานดาวในดวงเกิดจากตำแหน่งในราศี 
รู้สึกคุณเคร่งเรื่องมาตรฐานดาวมากไป และส่วนมากมักคิดกันว่าดาวมาตรฐานเป็นดาวดี 

ความจริงดาวมาตรฐานคือดาวที่อ้างอิงจากฐานที่มันเองอยู่เท่านั้น 
ตัวอย่างเช่น พลเอกทหารมียศที่เคารพกันในกองทัพ เขาบังคับบัญชาทหารได้มาก 
แต่พอเดินเข้าห้างสรรพสินค้า จะถือว่าเป็นผู้จัดการห้างสรรพสินค้าไปด้วยเลยไม่ได้ และการได้ยศนายพลก็ไม่ได้แสดงว่าเขาเป็นคนดีด้วย ถ้าเช่นนั้นพอเข้าวัดก็ต้องถือว่าเป็นพระอรหันต์ไปด้วยซี 

และเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับดาวจริง ดาวไม่จริง ครับ อยากแนะนำให้ทุกคนปล่อยวางเรื่องยศศักดิ์ของดาวไปก่อน จนกว่าจะเข้าใจดี
 
***ข้อ ห้า
.........ดาวศุกร์เป็นเกษตรตลอดราศีพฤษภครับ ไม่ว่ากี่องศาก็ตามไม่มีข้อแตกต่าง เกษตรราศีเป็นการกำหนดโดยธาตุ ไม่เกี่ยวกับองศา

***ข้อหก
........นี่ก็เป็นความเข้าใจผิด เพราะดาวเจ้าเรือนกำหนดตามราศีธาตุ ไม่มีทางผิดไปจากกันได้ เหมือนบ้านคุณก็มีชื่อเป็นของคุณแค่นั้น 

ที่จะผิดจากราศี ก็เป็นเพราะคุณใช้จักรราศีแบบอื่นๆมาอ่านเป็นเรือนชะตาในจักรราศีแบบไทย แบบนั้นผิดตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่เกี่ยวกับระบบธาตุและตนุเศษ ซึ่งไม่มีทางผิดเพราะราศีก็ใช้จักรราศีเดียวกับลัคนานั่นเอง และเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับตำแหน่งดาวจริง ไม่จริงอย่างที่คุณคิด 

อย่างคนชื่อ “ทักษิณ” คุณจะว่างั้นตำแหน่งก็ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย ไม่งั้นเป็นตัวปลอมหรือ ก็เขาชื่อทักษิณจริงๆตามบัตรประชาชน ขอให้คิดเอาเอง

ถาม
การพยากรณ์แบบใช้มุมดาวนั้นใช้มุมดาวที่สัมพันธ์ กุม(1) เล็ง(7) โยคหน้า(3) โยคหลัง(11) เกณฑ์(1,4,7,10) ตรีโกณ(5,9) 

1.กับราศีเหรอครับ ไม่ใช่ดาวเจ้าเรือนเหรอครับ 
2.แล้วมีใช้มุมอื่นอีกไหมครับ 
3.แล้วมุมสัมพันธ์แต่ละมุมมีความหมายอีกไหมครับ หรือแค่ถือว่าสัมพันธ์กัน แล้วอ่านรายละเอียดจากดาวที่มาทำมุมกันว่าเป็นคู่มิตร คู่สมพล คู่ธาตุ หรือ อื่นๆแทน

ตอบ
...........มุมดาว 1 4 7 10 โยค ตรีโกณ เล็ง ใช้กับ “ดาว” ครับ ไม่ใช้กับ “เจ้าเรือน” 
แม้ดาวกับเจ้าเรือนจะเป็นดวงเดียวกัน แต่ต้องแยกบทบาทของมันให้ออกก่อน 

ส่วน “ราศี” ว่าง นั้น ปกติก็ไม่ใช้กับมุมดาว เว้นแต่ราศีที่มีดาวอยู่ด้วย ราศีนั้นจึงจะมีผลทางมุมดาว 

และแม้ ราศี กับเรือนจะเป็นสิ่งเดียวกันก็ตาม แต่ก็เป็นคนละบทบาทอีกนั่นแหละ คุณอย่าเพิ่งสับสนกับบทบาทของดาว และ การใช้เกณฑ์กับราศีว่างนั้นเป็นของโหราศาสตร์ระบบอื่นครับ


.........และอย่าสับสนกับการ “กุม” กับ “ร่วมราศี ” ดาวร่วมราศีกันมีความสัมพันธ์ทางเรือน แต่จะเป็นการกุม ในเกณฑ์ต่างๆ เมื่อองศาดาว ใช้ได้ ส่วนความหมายของมุมสัมพันธ์นั้นมีครับ 
 เอาแค่นั้นก่อน

.........ส่วนความสัมพันธ์ผ่านเกณฑ์อื่นๆ ผมยังไม่อยากแนะนำ เพราะเพียงเท่าที่ดูเบื้องต้นนี้ คุณก็จะงงแทบดูไม่ถูกแล้วครับ ผมเกรงว่าจะยิ่งวุ่นวายกันไปใหญ่ ในการเรียนระดับสูงขึ้นไปยังมีเกณฑ์ของเรือนและดาวอีกมากมาย แต่พื้นฐานต้องดีก่อน และเป็นเรื่องที่ต้องอธิบายกันยาวด้วย ที่ต้องอธิบายยาวนั้นพอทำได้ แต่พอเริ่มอธิบายแล้ว ส่วนใหญ่ก็ต้องมานับหนึ่งกันใหม่ทุกที ผมเบื่อจะสอนใคร และตอบปัญหาใคร ต่อมา ก็เพราะเรื่องนี้เป็นเหตุด้วย


..........หากเราแยกระบบเรือน กับ ระบบดาวออกได้ชำนาญแล้ว ต่อไปจึงเอามารวมกันได้ครับ ตอนนั้นคุณอยากเอาเจ้าเรือนอะไรทำมุมกันเจ้าเรือนอะไรก็ได้ตามใจ คุณอาจจะสงสัยว่า ถ้างั้นเราไปแยกมันออกทำไม ตอบได้ว่า ก็เพราะจุดกำเนิดมันแยกกันมานั่นเอง ต่อไปคุณติดปัญหาการเรียนโหราศาสตร์ไทย คุณจะแก้ง่าย เข้าใจเหตุผลง่ายนิดเดียว พูดสองคำก็รู้แล้ว

ไม่มีความคิดเห็น: