วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

ธรรมชาติ และระบบธาตุ

........การอธิบายเรื่องเกี่ยวกับโหราศาสตร์ในที่นี้มีข้อขัดข้องมาก คนที่อ่านอาจจะไม่เห็นอะไร เพราะมองจากมุมของตัวเอง 

ปัญหาคือ 

หนึ่ง........คือผู้อ่าน มีความรู้ทางโหราศาสตร์แตกต่างกัน บางคนก็เรียนมาจากหนังสือระบบอื่น ที่ไม่ใช่โหรไทยเดิม โดยที่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน 

สอง........คือผู้อ่าน มีภูมิความคิดแตกต่างกัน เลยไม่รู้จะอธิบายแบบกว้าง หรือ แบบลึก ถึงจะเข้าใจ 

สาม.......คือเครื่องมือ อินเตอร์เน็ทนี่ดี สะดวก อยู่กับบ้านว่างตอนไหนก็มาอ่านได้ แต่มีข้อไม่สะดวกสำหรับคนอธิบาย เพราะไม่ใช่กระดานดำ อยากเขียนอยากวาดอะไรให้ดู ซึ่งจะเข้าใจได้มากกว่า ก็ทำไม่ได้

สี่..........สมาชิกไม่แน่นอน ใครจะเข้า ใครจะออกก็ไม่รู้ คนมาใหม่ก็มาถามใหม่ เพราะแม้ย้อนกลับไปดูของเก่า แต่ก็ไม่มีใครถามไว้ ขืนไม่ถามก็ไม่เข้าใจ

........การศึกษาโหราศาสตร์นั้นมีปัญหาโดยตัวมันเอง พวกเราที่มาศึกษาโหราศาสตร์รู้เรื่องสังเกตไหมว่า เพื่อนๆของเราบางคนทำไมถึงไม่รู้เรื่อง

........พวกเราที่เรียนมาโดยวิชาสามัญ ถูกสอนจนเคยชินโดยความรู้ที่เป็นของสำเร็จรูป ไม่ต้องคิดเอง เหมือนกินบะหมี่ซอง และพวกเราส่วนใหญ่ถูกล้อคให้ติดกับอะไรที่เป็นสิ่งแน่นอน โดยเฉพาะโลกดิจิตอล ซึ่งข้อมูลตายตัวกว่า และกำลังมาแทนที่ อนาล็อกทั้งหมด ดังนั้น หลายๆคนจึงติดอยู่กับความเที่ยงตรงของตัวเลข เช่น การกำหนดองศาที่ชัดเจน เป็นทศนิยม 2 – 3 ตำแหน่ง การกำหนดขอบเขตุราศี ที่เป็นเส้นแบ่งชัดๆ ของไม้บันทัด และแนวเส้นตรงจากกล้องเซอร์เวย์ อยากให้การอ่านเรือน อ่านดาว มีสูตรที่แน่นอน เหมือนสูตรทางเคมี อยากจะรู้วัน เดือน ปี นาที วินาที ของนาฬิกา ที่จะเกิดเหตุการณ์ต่างๆและอยากเห็นการทำนายที่แม่นยำเผง อย่างที่เห็นดวงดาวจากล้องโทรทัศน์

........แต่โหราศาสตร์ไทยจะไม่มีสิ่งเหล่านี้ให้เราหรอก แม้โหราศาสตร์บางระบบจะมี สูตรสำเร็จให้คุณบวกลบคูณหาร พอได้ผลแล้วก็ไปเปิดดูคำทำนายเหมือนดิกชั่นเนอรี่ แต่แบบนั้นคุณก็จะพบว่า มีข้อจำกัด ไม่ลึกซึ้งมาก โหราศาสตร์ดั้งเดิมนั้นมาจากธรรมชาติ ที่เป็น อนาล็อก ต้องแปลความ และอาศัยความรู้ในการสังเคราะห์คำทำนายขึ้นมา ต้องใช้ไหวพริบปฏิภาณ ดังนั้นหากเราต้องการเข้าถึงภูมิความรู้ของคนโบราณ เราก็ต้องเข้าใจความเป็นไปในธรรมชาติที่คนโบราณเห็นมาเสียก่อน

.........หากเราแหงนหน้าดูท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ต่างก็โคจรไปรอบโลกทุกเมื่อเชื่อวัน บนท้องฟ้าอันว่างเปล่านั้น ไม่มีเส้นแบ่งราศี ไม่มีการแบ่งธาตุ 

คนโบราณเองต่างหากที่จำเป็นต้องไปกำหนดสิ่งสองอย่าง คือ
 
หนึ่ง......เส้นแบ่งราศี เพียงเพื่อให้รู้ว่าดาว มันโคจรไปจากที่ใด ถึงที่ใด และ 
สอง.......วันเวลา เพื่อให้รู้ความเร็วของการเคลื่อนที่ 

เมื่อกำหนดสองอย่างนี้แล้ว การศึกษาเรื่องดวงดาวจึงทำได้ชัดละเอียดขึ้น และการเป็นความรู้ต่อเนื่องไปอีกมากมาย 

คนโบราณใช้สองสิ่งนี้ เป็นเกณฑ์มาตรฐานมาแต่โบราณ เพื่อใช้ วางรากฐานวิชาโหราศาสตร์จากดวงดาว โหราศาสตร์นั้นไม่ใช่ดาราศาสตร์ 

เชื่อกันว่า คำว่า “โหรา ” ที่ไทยเราใช้อยู่ ก็คือ “ชั่วโมง” หรือ “เวลา ” ที่เป็นเกณฑ์ ธรรมชาติหนึ่งในสองนั่นเอง แต่ปัจจุบัน หลายคนที่เรียนดาราศาสตร์ กลับเอาความรู้เหล่านั้นมาเป็นมีดจ่อคอหอยโหราศาสตร์ให้เดินตาม กลายเป็นโหราศาสตร์ประยุกต์ต่างๆ แล้วเอาวิทยาศาสตร์มาจับโหราศาสตร์ดั้งเดิมเปรียบเทียบสิ่งที่สามารถชั่งตวงวัดให้เห็นได้ เหมือนจับคนแก่มาวิ่งแข่งกับเด็กหนุ่ม แทนที่จะเปรียบเทียบเชิงปัญญา 

โหราศาสตร์ดั้งเดิม จึงต้องหลบซ่อนตัวอยู่ แอบหันไปถ่ายทอดแก่คนในวงจำกัด และใกล้ชิด เพื่อรักษามรดกอันล้ำค่าไว้ให้แก่คนรุ่นหลัง..........ที่มีสติปัญญา

........บางคนอาจจะงง ข้อความในย่อหน้าที่แล้ว เพราะการกำหนดราศี และ เวลา ก็เป็นการกำหนด เหมือนเช่นดาราศาสตร์ทุกอย่าง แล้วโหราศาสตร์มีมรดกอะไรมาให้คนรุ่นหลังหรือ ของสองสิ่ง ที่ซ่อนอยู่ในโหราศาสตร์โบราณ และไม่มีใครเปิดเผยทั่วไป 

คือ “ ตำแหน่ง” และ “เวลา” นี่เอง 

หรือที่เรารู้กันทางฟิสิกส์หมายถึง space and time กาล – อวกาศ ราศี และ เวลา 

ทางดาราศาสตร์ เป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้สังเกตการณ์ธรรมชาติของดวงดาว แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ “ความเป็นอยู่ของธาตุ” ซึ่งเป็นสิ่งที่ซ้อนทับอยู่กับ ดาราศาสตร์ 

เพราะธาตุนี่เองเป็นตัวเชื่อมความหมายระหว่างธรรมชาติหลายแบบเข้าด้วยกัน เมื่อเราต้องการเรียนรู้ธรรมชาติอย่างหนึ่ง โดยอาศัยการศึกษาดูธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง 

เราต้องเข้าใจเรื่อง “ธาตุ” เมื่อเข้าใจแล้ว เราจะแปลความหมายจากธรรมชาติออกมาได้ สเกลสองอย่างของธาตุ คือ เวลา และ ตำแหน่ง ไม่เหมือนดาราศาสตร์ เพราะ มันเป็นส่วนที่อยู่ระหว่างธรรมชาติสองอันที่แตกต่าง

..........คุณลองเขียนวงกลม สองวง ลงบนกระดาษ ห่างกันสักคืบหนึ่ง 
วงหนึ่ง.......คือข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ 
อีกวงหนึ่ง........คือชะตาชีวิตของคุณเอง 

ระหว่างวงกลมทั้งสองนี้ คุณเขียนวงกลมวงเล็ก ลงไปอีกสักสิบวง อนุญาตให้ซ้อนกันบางส่วนของวงได้ วงกลมต่างๆที่อยู่ระหว่าง ดาราศาสตร์กับชีวิตนี้เอง คือ ระบบของธาตุ ซึ่งเป็นกลไกที่ธรรมชาติส่งผ่าน ( transit ) ความหมาย ทางดาราศาสตร์ กับ ชะตาชีวิต 

แต่ละวงกลม เป็นระบบย่อยหนึ่งๆ บางวงเป็นรูปธรรม บางวงเป็นนามธรรม และบางวงเป็นสัจธรรม หากเราเรียนเรื่องธาตุ เราต้องเรียนระบบทางธาตุเหล่านี้ทั้งหมด 

ธาตุเหล่านี้ โบราณพบว่ามันแปรเปลี่ยนไปมาระหว่างกันหลายระดับ และแต่ละระบบ มีฐานอ้างอิง เวลา และ ตำแหน่ง ของมันเอง 

ดังนั้น หากเราเริ่มอ่านระบบทางธาตุ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ องศา ราศี และ เวลา ทางดาราศาสตร์เป็นเกณฑ์วัดอีก แต่จะเริ่มอ่านโดยอาศัย เวลา - ตำแหน่ง ของระบบธาตุที่ส่งผ่านกัน ล้วนๆ ซึ่งในแต่ละระดับจะไม่เหมือนกัน............

..........ระบบย่อยของธาตุเหล่านี้ เป็นที่มาของหลักพยากรณ์ และ คัมภีร์คำทำนายจำนวนมาก ในวิชาโหราศาสตร์ไทย

................(ยังมีต่อ).............................

ไม่มีความคิดเห็น: