วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

พลังงานธาตุ

         เวลา​เรียนโหราศาสตร์​ไทย    เมื่อเอ่ย​ถึง  ธาตุ    ดาว   ราศี   แสง  รังสี   พลังงาน  เป็น​ต้น  หลายคนมัก​จะ​เอา​ความ​หมายทางวิทยาศาสตร์  และ​ดาราศาสตร์มาคิด     บางทีก็​เลยแต่งหลักตำ​รา​เคล็ดลับพยากรณ์ขึ้นเอง   เช่น  มุมตก  มุมสะท้อน    มุมปลายหอก   มุมปลายดาบ    ลบ​ ​กับ​ ​ลบ​ ​เป็น​บวก    กระ​แสคลื่นจิตมุดคลื่นแสง     อาทิตย์​ +  จันทร์  เป็น​ ​อังคาร  เพราะ  สี​แดงบวกเหลือง​ ​ย่อม​ได้​ ​ส้ม   เกิด​จาก  1 + 2 =  3      ทำ​เอานักเรียน​ใหม่​ที่อ่านตำ​ราพลอย​เข้า​ใจอะ​ไรผิดๆ​ไป​ด้วย      แต่คนที่​เรียนผ่านมาระยะ​เวลาหนึ่ง​แล้ว    จะ​เริ่มรู้สึก​ได้​ว่า  คำ​เหล่านี้​แม้​จะ​คล้าย  แต่ก็​ไม่​ได้​เกี่ยว​กับ​ศัพท์ทางวิทยาศาสตร์​เลย



         วิชา​โหราศาสตร์​ไทยที่สอน​กัน​มา​แต่​โบราณ     ดูราว​กับ​มี​ ​ศัพท์  มากเกินเหตุ​ ​เกินควร   เกิด​จาก​วิชา​เหล่านี้   ถูกซ่อน​ไว้​จาก​ศัตรู​เมืองสมัยก่อนบ้าง   จาก​คนใจบาปหยาบช้าบ้าง      การ​เข้า​ศัพท์ยากๆ​เอา​ไว้   เป็น​อุบายวิธี​ encoding   แบบเก่าๆ​เดิมๆ     ซึ่ง​โบราณมัก​ใช้​กับ​สิ่งที่​ต้อง​การ​จะ​ซ่อน  โดย​ไม่​จำ​เป็น​ต้อง​ใส่​กุญแจล้อค     ถึง​จะ​จด​และ​วาง​ไว้​เปิดเผย   ก็​ไม่​มี​ใครขโมยวิชา​ไป​ได้     หาก​ไม่​รู้วิธีถอดรหัส    มี​เพียงคนที่​ใกล้​ชิด  และ​ใช้​เป็น​เท่า​นั้น   จึง​จะ​ทราบ​ความ​หมายที่​แท้จริง    อย่างพวกกรีก  หรือ​อียิปต์​โบราณ​ ​ก็ถนัดวิธีนี้นัก      หลัง​จาก​นั้น   วิชา​เหล่านี้ถูกเผยแพร่ออกมา   ศัพท์ต่างๆ​ถูกแปล​ใหม่​ให้​ฟังดูง่าย​เข้า     พวกเราที่มาอ่านทีหลัง  เลยหลวมตัวคิดถอด​ความ​หมายศัพท์​กัน​ไปผิดๆ   เอาภาษาศาสตร์มา​แปลต่อก็มี



          ที่สำ​คัญคือเรื่อง​ แสง       ตำ​รา​โหราศาสตร์​ไทย​ส่วน​มาก​จะ​กล่าว​ถึง​แสงดาว    แสงระหว่างดาว​และ​เรือน   และ​ยัง​กล่าว​ถึง​ดาวมี​แสงที่​โคจร​อยู่​บ่อยๆ    เรื่องแสงนี้ก็พอๆ​กับ​คำ​ว่า​ ดาว   (​ซึ่ง​ก็คือธาตุดาว)  โหรไทยเรียกง่ายๆ​ว่า​แสง  แต่มัน​ไม่​ใช่​แสง      แสงมี​เพียงสิ่งเดียวคือแสงของดวงอาทิตย์​เท่า​นั้น     แสงดวงอาทิตย์ส่งสะท้อนมา​จาก​ดวงจันทร์​ได้  หรือ​จาก​ดาวดวง​อื่นๆ​ได้   แต่​เรานำ​มันมา​ใช้​จำ​กัดมาก     หลายคน​เข้า​ใจผิด​จึง​นำ​เอาคุณสมบัติของแสง​จาก​วิทยาศาสตร์มาวิ​เคราะห์มุมตก  มุมสะท้อน   และ​อื่นๆ​มา​ใช้​ทางโหราศาสตร์​ด้วย​ทำ​ให้​กลาย​เป็น​โหราศาสตร์ประยุกต์​ใน​ทางผิด   ทฤษฎี​โหราศาสตร์จริงๆ​แล้ว​ถือว่าดวงอาทิตย์ส่งแสงออกมาพร้อม​ พลังงานธาตุ   พลังงานธาตุนี้​เองที่ถูกถ่ายเท  ถ่ายทอดไป​ทั่ว​จักรวาล​และ​ธรณี​ไม่​รู้จบ   และเป็น​สิ่งพื้นฐานสำ​คัญที่​เป็น​เสาหลักอย่างหนึ่งของโหราศาสตร์​ไทย   ถ้า​ไม่​มีทฤษฎีพลังงานธาตุ   ตำ​รา​โหราศาสตร์​ไทย​จะ​กลาย​เป็น​กระดาษเปล่า​ไปทุกหน้า



          คง​ไม่​ต้อง​บอกว่า​เรื่อง​ พลังงานธาตุ  สำ​คัญ  ยืดยาว  และ​ยากเพียง​ใด   แม้​แต่​จะ​เอามา​เล่าสั้นๆ​ก็​จะ​ยาว  แต่หลีกเลี่ยง​ไม่​ได้    โหราศาสตร์ถือว่า  พลังงานธาตุ  ทำ​ให้​ธาตุดาวมี​ พลัง    ธรรมดาธาตุดาว​ไม่​มีการผสม​กัน​ได้​เลยแต่พลังงานธาตุนี่​เอง  ทำ​ให้​ธาตุดาวผสม​กัน​ได้  และ​เป็น​ตัวทำ​ให้​เกิดปฏิกิริยา​แปรเปลี่ยนไป      เมื่อดาวเปลี่ยนภพ (ระบบ)  และ  ภูมิ (ระดับ)   จะ​มีระดับพลังงานธาตุ​เปลี่ยนไปทุกครั้ง     พลังงานธาตุ​จะ​เป็น​ตัวหล่อเลี้ยงธาตุ   แฝง​อยู่​ใน​ธาตุทุกชนิด​ใน​จักรวาล  ไม่​ว่าบนท้องฟ้า  ธรณี  หรือ​ใน​ชีวิตคน    แม้​แต่ ​อากาศธาตุ   ซึ่ง​โดย​ทั่ว​ไปหมาย​ถึง​ที่ว่างเปล่า​ไม่​มีอะ​ไร   (แต่โหราศาสตร์​ไม่​ถือ​เป็น​ธาตุ    โหราศาสตร์​ไทยถือว่าคือที่​ซึ่ง​มี​แต่พลังงานธาตุ​โดย​ไม่​มีธาตุ​อื่น​อยู่​ด้วย​เท่า​นั้น​เอง)     หลักโหราศาสตร์​ไทยทุกหลักทุกอย่างมีพื้นฐานมา​จาก​การวิ​เคราะห์พลังงานธาตุ​และ​กลไกของมัน



          เสาหลักทฤษฎีของโหราศาสตร์​ไทยมี​อยู่​หลายอย่าง  ทั้ง​โดย​ระบบ  และ​เนื้อหา   ที่สำ​คัญมาก​โดย​ระบบ   มี  2  อย่างคือ  หนึ่ง​......​เรื่องของกาล  หรือ​ เวลา  หรือ​ โหรา    และ  สอง​.......​เรื่องพลังงานธาตุ     ซึ่ง​ตกทอดมานาน​จาก​โหราศาสตร์​ใน​ยุคคลาสสิค  เริ่มแรก     พลังงานธาตุ​เป็น​เพียงธาตุประ​เภทหนึ่ง​เท่า​นั้น​แต่มีคุณสมบัติสำ​คัญที่สุดต่อระบบ    การบังเกิดเรือน   เกิดเกษตรธาตุ   เกิดธาตุดาว   ความ​คง​อยู่​ของธาตุ​อื่น​ทุกอย่าง    และ​มีผลต่อชะตาชีวิต​ความ​เป็น​ไปของเรา​ด้วย    เมื่อพลังงานธาตุบางอย่างเปลี่ยนไป    ชีวิตเรา​จะ​เปลี่ยนเรื่องราว   เป็น​เหตุ​ให้​ใช้​พยากรณ์​ได้



          มีสิ่งที่​เป็น​ไป​ไม่​ได้​ทางวิทยาศาสตร์  แต่​โหราศาสตร์ถือ​เป็น​เรื่องธรรมดามากอีกเรื่องหนึ่ง​ ​คือ  นามธรรม    เราทราบ​กัน​ว่า  นามธรรม​นั้น​ไม่​มีตัวตน    มี​แต่คุณสมบัติ     แต่โหราศาสตร์  ถือว่า​ ​นามธรรม​เป็น​สถานะธรรมดาของธาตุ  ทีมีพลังงานเฉพาะระดับหนึ่ง​เท่า​นั้น  ดัง​นั้น​   นามธรรม​จึง​สามารถ​มีตัวตน​ได้      แต่​จะ​ต่าง​จาก​ตัวตนของรูปธรรม​อยู่​ที่​ ​องคประกอบของธรรม​เท่า​นั้น​เอง      นามธรรม​สามารถ​เปลี่ยน​เป็น​รูปธรรม   และ​รูปธรรมก็​เปลี่ยนกลับ​เป็น​นามธรรม​ได้​ด้วย    โดย​มีธาตุที่​อยู่​ใน​ระหว่าง​นั้น​หลายภูมิ​    สิ่งที่​เป็น​คุณสมบัติสำ​คัญ​ใน​การเปลี่ยนแปลง​  คือ​ ​พลังงานธาตุ



        โหราศาสตร์นำ​ทฤษฎีนี้มา​ใช้​ทำ​นายดวงชะตา  และ​ ​เป็น​ที่มาของหลักวิธีหลายอย่างที่​เรา​ใช้​อยู่​ทุกวันนี้​......​เช่น  ภูมิพยากรณ์ของมหาทักษา   ระบบเรือนเกษตร   และ​มุมระหว่างดาว   ของจักรราศี  ล้วน​แล้ว​แต่มีที่มา​จาก​พลังงานธาตุ   และ​การเปลี่ยนแปลงของธาตุ  เช่น  นามธรรม  และ​รูปธรรม       แต่ต่อมา  วิชา​โหราศาสตร์ทางธาตุที่​เป็น​โหราศาสตร์ดั้งเดิม    ได้​ถูกลบต้นตอเรื่องธาตุออกไป    เหลือเพียงเค้า​โครงร่าง   ที่กลาย​เป็น​ตำ​ราที่พวกเรา​เรียน​กัน​อยู่​ทุกวันนี้   ทุกอย่างกลาย​เป็น​สูตรสำ​เร็จรูป   และ​ถูกแต่งเติม​เข้า​ไปมาก   ทำ​ให้​ไม่​รู้ว่ามา​จาก​ไหน   และ​พัฒนาต่อไป​ได้​ยาก    เพราะ​หาก​จะ​ไปเริ่มพัฒนา​กัน​ใหม่    ต้อง​ไปรื้อเนื้อหาของตำ​ราก่อน   อะ​ไรที่ผิด​ต้อง​ขีดทิ้งไป   ซึ่ง​ทำ​ได้​ยาก



           โหราศาสตร์ประยุกต์ทฤษฎีนามธรรม​ใช้​กับ​ดวงชะตา​   เพื่อศึกษา​และ​เข้า​ใจธรรมชาติจบเพียง​เท่า​นี้         แต่​ความ​คิดที่​เป็น​รากฐานของทฤษฎี​   ไม่​ได้​ผูกขาด​อยู่​เฉพาะวิชานี้     ศาสตร์หลายศาสตร์​และ​ลัทธิศาสนา    ต่างก็ศึกษาธรรมชาติ  และ​ก็พบ​ความ​จริง​ได้​เท่าๆ​กัน     ไม่​จำ​กัด​ทั้ง​ทางวัฒนธรรมตะวันออก​หรือ​ตะวันตก    ทั้ง​ยัง​เชื่ออย่าง​เป็น​จริง​เป็น​จังมากกว่า      ดังที่   เห็นบางลัทธิศาสนา     ไหว้รูปเคารพเทวดา​ ​หรือ​เทพองค์​อื่น    ใน​เทวนิยาย  หรือ​ ​เทววิทยา   และ​ ​ส่วน​ที่​เป็น​ บุคคลาธิษฐาน  อื่นๆ​อีกมาก     ซึ่ง​อันที่จริงล้วน​แล้ว​แต่​เป็น​นามธรรม    มี​แต่คุณสมบัติ    แต่​แสดง​ให้​เห็น​เป็น​รูปธรรมเช่น  รูปกายมนุษย์​ได้   เมื่อเพิ่มพลังงานธาตุ  และ​ อะ​ไร ​อีกบางอย่าง     แม้​โดย​คุณสมบัติของนามธรรม​จะ​มี​ ระดับ  คือภูมิพลังงานธาตุที่ต่ำ​กว่า  ธาตุ​อื่นๆ   (ยกเว้น​ ​ชีวะธาตุ  และ​วิญญาณธาตุ​ ​โหราศาสตร์)   แต่​เมื่อสะสมมาก​เข้า​ ​ก็​จะ​มี​  อานุภาพ  ได้    คำ​ว่า  ระดับ  ใน​ที่นี้  ไม่​ได้​แสดง​ความ​น้อย  หรือ​มาก   แต่ระดับ  ของพลังงานธาตุ  เทียบ​ได้​กับ​ความ​ละ​เอียด​และ​หยาบของวัตถุนั่นเอง    เช่น​   อธิบายเหตุที่​เรา​ไม่​เห็นเทวดา  เพราะ​ท่านมีปกติที่​เป็น​รูปละ​เอียดเกินกว่า​เรา​จะ​เห็น​ได้



           ปริศนาของไสยศาสตร์หลายเรื่องเช่น  การ​เข้า​ทรง   และ​วิญญาณ   การปลุกเสก  เวทมนตร์   การที่คนตาย​แล้ว​ไม่​เน่า​เปื่อย   ก็มีพื้นฐาน​และ​สามารถ​อธิบาย​จาก​แนวคิดนี้      ทางศาสนาตะวันออกเอง    ทฤษฎี​เรื่องนามธรรม​และ​พลังงานธาตุ    มี​ส่วน​แทรก​อยู่​ใน​วัฒนธรรม  เช่น​ ​เชื่อว่า​  การที่​เรา​ไหว้พระ    สวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย    ไหว้พระคุณครู  เป็น​ต้น     คำ​ว่า​ พระคุณ  นี้​ ​เป็น​องค์ธรรมที่​เกิด​จาก​นามธรรม    มีสภาพเหมือนรูปธรรม    องค์ธรรมที่​เกิด​จาก​พระคุณนี้  มีอานุภาพ  และ​คุณสมบัติ​เหมือนปรากฏ​เป็น​รูปธรรมเดิม    คือเหมือน​กับ​เรา​ได้​ไหว้​ ​พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์    องค์จริงๆ      แม้​แต่พระนิพพาน  ซึ่ง​ทางนิกายเถรวาท  ถือ​เป็น​เพียงสภาวะหลุดพ้น    ทางมหายาน  ก็​ยัง​ถือ​ ​ว่า​ พุทธภาวะ  หรือ​ พุทธะ  นั้น​ ​คือ  พระยู​ไล้    ซึ่ง​ปรากฏ​เป็น​รูปธรรม​ให้​เห็น    ดังเช่น  ใน​โบสถ์ของพุทธศาสนามหายาน  หรือ​โรงเจ     องค์ที่​เรา​เห็นเหมือนพระพุทธรูป​นั้น  มี​ทั้ง​ที่​เป็น  องค์พุทธภาวะ  และ  องค์ที่​เป็น​พระพุทธรูป​(พระสมณโคดม)    และพระคุณของพระ​โพธิสัตว์    หากสอบถาม​ผู้​รู้  เขา​จะ​บอกข้อแตกต่าง​ให้​ได้      พวกเรา​เอง​ไม่​ค่อย​จะ​รู้​เรื่องนี้     เพราะ​คิดว่า​เป็น​เรื่องของมหายาน​เท่า​นั้น



             ทางฮินดู​ใน​ยุคหลังๆ​มานี้    ที่​เต็มไป​ด้วย​รูปเคารพเทพ​ ​เทวดามากมาย   ก็​จะ​เห็น​ได้​ว่า​เทพเหล่า​นั้น​เป็น​รูปธรรมที่ปรากฏแทนนามธรรมอย่าง​ใด​อย่างหนึ่ง  หรือ​หลายอย่าง​ใน​องค์​เดียว   ทั้ง​ฝ่ายดี​และ​ร้าย    จนดู​เหมือน​ไม่​มีนามธรรม​ใด​ที่​ไม่​ปรากฏขึ้น​เป็น​รูปธรรมเลย    ไสยศาสตร์ยิ่งนำ​มา​ใช้​มากกว่า​นั้น    เนื้อหา​ใน​วรรณกรรมหลายเรื่อง​ ​ก็คือ   สิ่งที่​เป็น​นามธรรม​และ​ปรากฏขึ้น​ใน​ใจ​หรือ​ชีวิตมนุษย์   เช่น   รามเกียรติ   ซึ่ง​นำ​เอานามธรรมขึ้นมาปรากฏ​เป็น​รูปธรรม​ทั้ง​หมด       มีหลายกรณี​ใน​รามเกียรติ์​เป็น​ปริศนาที่​สามารถ​อธิบายทางโหราศาสตร์​ได้    นี่​เป็น​เหตุผลที่ตำ​ราพยากรณ์​เก่าๆ​จึง​มักอ้างรามเกียรติ  เช่นว่า  ชะตา​เหมือนพระรามเดินดง​......​เหมือนพระลักษณ์​ต้อง​หอกโมกขศักดิ์​..... ​หรือ  สีดาลุยไฟ       เพราะ​มีมูลฐานต้นตอมา​จากทฤษฎี​เก่า​แก่​ ​บทเดียว​กัน

ไม่มีความคิดเห็น: