วิชาโหราศาสตร์ไทยที่สอนกันมาแต่โบราณ ดูราวกับมี ศัพท์ มากเกินเหตุ เกินควร เกิดจากวิชาเหล่านี้ ถูกซ่อนไว้จากศัตรูเมืองสมัยก่อนบ้าง จากคนใจบาปหยาบช้าบ้าง การเข้าศัพท์ยากๆเอาไว้ เป็นอุบายวิธี encoding แบบเก่าๆเดิมๆ ซึ่งโบราณมักใช้กับสิ่งที่ต้องการจะซ่อน โดยไม่จำเป็นต้องใส่กุญแจล้อค ถึงจะจดและวางไว้เปิดเผย ก็ไม่มีใครขโมยวิชาไปได้ หากไม่รู้วิธีถอดรหัส มีเพียงคนที่ใกล้ชิด และใช้เป็นเท่านั้น จึงจะทราบความหมายที่แท้จริง อย่างพวกกรีก หรืออียิปต์โบราณ ก็ถนัดวิธีนี้นัก หลังจากนั้น วิชาเหล่านี้ถูกเผยแพร่ออกมา ศัพท์ต่างๆถูกแปลใหม่ให้ฟังดูง่ายเข้า พวกเราที่มาอ่านทีหลัง เลยหลวมตัวคิดถอดความหมายศัพท์กันไปผิดๆ เอาภาษาศาสตร์มาแปลต่อก็มี
ที่สำคัญคือเรื่อง “แสง” ตำราโหราศาสตร์ไทยส่วนมากจะกล่าวถึงแสงดาว แสงระหว่างดาวและเรือน และยังกล่าวถึงดาวมีแสงที่โคจรอยู่บ่อยๆ เรื่องแสงนี้ก็พอๆกับคำว่า “ดาว” (ซึ่งก็คือธาตุดาว) โหรไทยเรียกง่ายๆว่าแสง แต่มันไม่ใช่แสง แสงมีเพียงสิ่งเดียวคือแสงของดวงอาทิตย์เท่านั้น แสงดวงอาทิตย์ส่งสะท้อนมาจากดวงจันทร์ได้ หรือจากดาวดวงอื่นๆได้ แต่เรานำมันมาใช้จำกัดมาก หลายคนเข้าใจผิดจึงนำเอาคุณสมบัติของแสงจากวิทยาศาสตร์มาวิเคราะห์มุมตก มุมสะท้อน และอื่นๆมาใช้ทางโหราศาสตร์ด้วยทำให้กลายเป็นโหราศาสตร์ประยุกต์ในทางผิด ทฤษฎีโหราศาสตร์จริงๆแล้วถือว่าดวงอาทิตย์ส่งแสงออกมาพร้อม “พลังงานธาตุ” พลังงานธาตุนี้เองที่ถูกถ่ายเท ถ่ายทอดไปทั่วจักรวาลและธรณีไม่รู้จบ และเป็นสิ่งพื้นฐานสำคัญที่เป็นเสาหลักอย่างหนึ่งของโหราศาสตร์ไทย ถ้าไม่มีทฤษฎีพลังงานธาตุ ตำราโหราศาสตร์ไทยจะกลายเป็นกระดาษเปล่าไปทุกหน้า
คงไม่ต้องบอกว่าเรื่อง “พลังงานธาตุ” สำคัญ ยืดยาว และยากเพียงใด แม้แต่จะเอามาเล่าสั้นๆก็จะยาว แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โหราศาสตร์ถือว่า พลังงานธาตุ ทำให้ธาตุดาวมี “พลัง” ธรรมดาธาตุดาวไม่มีการผสมกันได้เลยแต่พลังงานธาตุนี่เอง ทำให้ธาตุดาวผสมกันได้ และเป็นตัวทำให้เกิดปฏิกิริยาแปรเปลี่ยนไป เมื่อดาวเปลี่ยนภพ (ระบบ) และ ภูมิ (ระดับ) จะมีระดับพลังงานธาตุเปลี่ยนไปทุกครั้ง พลังงานธาตุจะเป็นตัวหล่อเลี้ยงธาตุ แฝงอยู่ในธาตุทุกชนิดในจักรวาล ไม่ว่าบนท้องฟ้า ธรณี หรือในชีวิตคน แม้แต่ อากาศธาตุ ซึ่งโดยทั่วไปหมายถึงที่ว่างเปล่าไม่มีอะไร (แต่โหราศาสตร์ไม่ถือเป็นธาตุ โหราศาสตร์ไทยถือว่าคือที่ซึ่งมีแต่พลังงานธาตุโดยไม่มีธาตุอื่นอยู่ด้วยเท่านั้นเอง) หลักโหราศาสตร์ไทยทุกหลักทุกอย่างมีพื้นฐานมาจากการวิเคราะห์พลังงานธาตุและกลไกของมัน
เสาหลักทฤษฎีของโหราศาสตร์ไทยมีอยู่หลายอย่าง ทั้งโดยระบบ และเนื้อหา ที่สำคัญมากโดยระบบ มี 2 อย่างคือ หนึ่ง......เรื่องของกาล หรือ เวลา หรือ “โหรา” และ สอง.......เรื่องพลังงานธาตุ ซึ่งตกทอดมานานจากโหราศาสตร์ในยุคคลาสสิค เริ่มแรก พลังงานธาตุเป็นเพียงธาตุประเภทหนึ่งเท่านั้นแต่มีคุณสมบัติสำคัญที่สุดต่อระบบ การบังเกิดเรือน เกิดเกษตรธาตุ เกิดธาตุดาว ความคงอยู่ของธาตุอื่นทุกอย่าง และมีผลต่อชะตาชีวิตความเป็นไปของเราด้วย เมื่อพลังงานธาตุบางอย่างเปลี่ยนไป ชีวิตเราจะเปลี่ยนเรื่องราว เป็นเหตุให้ใช้พยากรณ์ได้
มีสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ แต่โหราศาสตร์ถือเป็นเรื่องธรรมดามากอีกเรื่องหนึ่ง คือ นามธรรม เราทราบกันว่า นามธรรมนั้นไม่มีตัวตน มีแต่คุณสมบัติ แต่โหราศาสตร์ ถือว่า นามธรรมเป็นสถานะธรรมดาของธาตุ ทีมีพลังงานเฉพาะระดับหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น นามธรรมจึงสามารถมีตัวตนได้ แต่จะต่างจากตัวตนของรูปธรรมอยู่ที่ องคประกอบของธรรมเท่านั้นเอง นามธรรมสามารถเปลี่ยนเป็นรูปธรรม และรูปธรรมก็เปลี่ยนกลับเป็นนามธรรมได้ด้วย โดยมีธาตุที่อยู่ในระหว่างนั้นหลายภูมิ สิ่งที่เป็นคุณสมบัติสำคัญในการเปลี่ยนแปลง คือ พลังงานธาตุ
โหราศาสตร์นำทฤษฎีนี้มาใช้ทำนายดวงชะตา และ เป็นที่มาของหลักวิธีหลายอย่างที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้......เช่น ภูมิพยากรณ์ของมหาทักษา ระบบเรือนเกษตร และมุมระหว่างดาว ของจักรราศี ล้วนแล้วแต่มีที่มาจากพลังงานธาตุ และการเปลี่ยนแปลงของธาตุ เช่น นามธรรม และรูปธรรม แต่ต่อมา วิชาโหราศาสตร์ทางธาตุที่เป็นโหราศาสตร์ดั้งเดิม ได้ถูกลบต้นตอเรื่องธาตุออกไป เหลือเพียงเค้าโครงร่าง ที่กลายเป็นตำราที่พวกเราเรียนกันอยู่ทุกวันนี้ ทุกอย่างกลายเป็นสูตรสำเร็จรูป และถูกแต่งเติมเข้าไปมาก ทำให้ไม่รู้ว่ามาจากไหน และพัฒนาต่อไปได้ยาก เพราะหากจะไปเริ่มพัฒนากันใหม่ ต้องไปรื้อเนื้อหาของตำราก่อน อะไรที่ผิดต้องขีดทิ้งไป ซึ่งทำได้ยาก
โหราศาสตร์ประยุกต์ทฤษฎีนามธรรมใช้กับดวงชะตา เพื่อศึกษาและเข้าใจธรรมชาติจบเพียงเท่านี้ แต่ความคิดที่เป็นรากฐานของทฤษฎี ไม่ได้ผูกขาดอยู่เฉพาะวิชานี้ ศาสตร์หลายศาสตร์และลัทธิศาสนา ต่างก็ศึกษาธรรมชาติ และก็พบความจริงได้เท่าๆกัน ไม่จำกัดทั้งทางวัฒนธรรมตะวันออกหรือตะวันตก ทั้งยังเชื่ออย่างเป็นจริงเป็นจังมากกว่า ดังที่ เห็นบางลัทธิศาสนา ไหว้รูปเคารพเทวดา หรือเทพองค์อื่น ในเทวนิยาย หรือ เทววิทยา และ ส่วนที่เป็น “บุคคลาธิษฐาน” อื่นๆอีกมาก ซึ่งอันที่จริงล้วนแล้วแต่เป็นนามธรรม มีแต่คุณสมบัติ แต่แสดงให้เห็นเป็นรูปธรรมเช่น รูปกายมนุษย์ได้ เมื่อเพิ่มพลังงานธาตุ และ “อะไร” อีกบางอย่าง แม้โดยคุณสมบัติของนามธรรมจะมี “ระดับ” คือภูมิพลังงานธาตุที่ต่ำกว่า ธาตุอื่นๆ (ยกเว้น ชีวะธาตุ และวิญญาณธาตุ – โหราศาสตร์) แต่เมื่อสะสมมากเข้า ก็จะมี “อานุภาพ” ได้ คำว่า “ระดับ” ในที่นี้ ไม่ได้แสดงความน้อย หรือมาก แต่ระดับ ของพลังงานธาตุ เทียบได้กับความละเอียดและหยาบของวัตถุนั่นเอง เช่น อธิบายเหตุที่เราไม่เห็นเทวดา เพราะท่านมีปกติที่เป็นรูปละเอียดเกินกว่าเราจะเห็นได้
ปริศนาของไสยศาสตร์หลายเรื่องเช่น การเข้าทรง และวิญญาณ การปลุกเสก เวทมนตร์ การที่คนตายแล้วไม่เน่าเปื่อย ก็มีพื้นฐานและสามารถอธิบายจากแนวคิดนี้ ทางศาสนาตะวันออกเอง ทฤษฎีเรื่องนามธรรมและพลังงานธาตุ มีส่วนแทรกอยู่ในวัฒนธรรม เช่น เชื่อว่า การที่เราไหว้พระ สวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ไหว้พระคุณครู เป็นต้น คำว่า “พระคุณ” นี้ เป็นองค์ธรรมที่เกิดจากนามธรรม มีสภาพเหมือนรูปธรรม องค์ธรรมที่เกิดจากพระคุณนี้ มีอานุภาพ และคุณสมบัติเหมือนปรากฏเป็นรูปธรรมเดิม คือเหมือนกับเราได้ไหว้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์จริงๆ แม้แต่พระนิพพาน ซึ่งทางนิกายเถรวาท ถือเป็นเพียงสภาวะหลุดพ้น ทางมหายาน ก็ยังถือ ว่า “พุทธภาวะ” หรือ “พุทธะ” นั้น คือ “พระยูไล้” ซึ่งปรากฏเป็นรูปธรรมให้เห็น ดังเช่น ในโบสถ์ของพุทธศาสนามหายาน หรือโรงเจ องค์ที่เราเห็นเหมือนพระพุทธรูปนั้น มีทั้งที่เป็น องค์พุทธภาวะ และ องค์ที่เป็นพระพุทธรูป(พระสมณโคดม) และพระคุณของพระโพธิสัตว์ หากสอบถามผู้รู้ เขาจะบอกข้อแตกต่างให้ได้ พวกเราเองไม่ค่อยจะรู้เรื่องนี้ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องของมหายานเท่านั้น
ทางฮินดูในยุคหลังๆมานี้ ที่เต็มไปด้วยรูปเคารพเทพ เทวดามากมาย ก็จะเห็นได้ว่าเทพเหล่านั้นเป็นรูปธรรมที่ปรากฏแทนนามธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างในองค์เดียว ทั้งฝ่ายดีและร้าย จนดูเหมือนไม่มีนามธรรมใดที่ไม่ปรากฏขึ้นเป็นรูปธรรมเลย ไสยศาสตร์ยิ่งนำมาใช้มากกว่านั้น เนื้อหาในวรรณกรรมหลายเรื่อง ก็คือ สิ่งที่เป็นนามธรรมและปรากฏขึ้นในใจหรือชีวิตมนุษย์ เช่น รามเกียรติ ซึ่งนำเอานามธรรมขึ้นมาปรากฏเป็นรูปธรรมทั้งหมด มีหลายกรณีในรามเกียรติ์เป็นปริศนาที่สามารถอธิบายทางโหราศาสตร์ได้ นี่เป็นเหตุผลที่ตำราพยากรณ์เก่าๆจึงมักอ้างรามเกียรติ เช่นว่า ชะตาเหมือนพระรามเดินดง......เหมือนพระลักษณ์ต้องหอกโมกขศักดิ์..... หรือ สีดาลุยไฟ เพราะมีมูลฐานต้นตอมาจากทฤษฎีเก่าแก่ บทเดียวกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น