ขอแก้ไขหน่อยครับ การเวียนขวาของทักษา ภาษาหนังสือ เรียกว่า “ทักษิณาวรรค” แต่ โหรชาวบ้านเรียกกันสั้นๆว่า “ทักษิณา” เข้าใจตามนี้นะครับ เดี๋ยวจะมีคนท้วงก่อน
ตอนที่แล้ว เราหยุดอยู่ที่ความพยายามในการเปรียบเทียบธรรมชาติหนึ่ง กับธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ การอ่านชะตาชีวิต จากข้อมูลทางดาราศาสตร์ หรือ ดาราจักร ผมได้เล่าไว้ในตอนที่แล้ว แล้วว่า เมื่อเราเทียบระหว่างจุดเกิด และจุดดับที่ตรงกันในธรรมชาติหลายอย่าง จะมีเหตุการณ์ความเป็นไปที่เหมือนกัน เมื่อเราทราบความเป็นไปของธาตุ ที่เป็นสื่อกลางความหมายที่ธรรมชาติสองอย่างสมนัยกัน ก็จะเข้าใจชีวิตได้
ชีวิตคืออะไร ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร แต่โหราศาสตร์โบราณรู้มาก่อนนานหลายพันปีแล้วว่า ชีวิตไม่ใช่ธรรมชาติที่เป็นเอกเทศกระแสเดียวโดดๆ แต่ชีวิตเป็นกระแสของธรรมชาติจำนวนมากที่เกี่ยวพันกัน เหมือนเชือกที่ถูกฟั่นขึ้นจากเกลียวเชือกเล็กๆจำนวนมาก แต่แม้จะมีความเกี่ยวพันกัน กระแสธรรมเหล่านี้แต่ละอย่างก็มีความอิสระ และจะก่อตัวขึ้นเป็นระบบย่อยๆของมันอีกมากมาย ในรูปแบบที่แน่นอนคงตัวเป็นอัตโนมัติ รูปแบบเหล่านั้นเป็นไปเองเหมือนถูกกำหนด ไว้แน่นอน
“ธรรม”เหล่านี้ โหราศาสตร์เรียกว่า “ธาตุ”
ธาตุแต่ละระบบ เรียกว่า “ภพ”
และระดับ ของแต่ละภพ เรียกว่า “ภูมิ”
ธาตุทั้งหลายจะมีตำแหน่งที่อยู่ในภพและภูมิตามเวลาที่แตกต่างกัน และ อย่างที่บอกแล้วว่า ธาตุในแต่ละธรรมชาติ มีทั้งที่เป็นรูปธรรม นามธรรม และ สัจธรรม
ธาตุจะเปลี่ยนสภาพไป เมื่อมีการเปลี่ยนภพ หรือพูดอีกอย่างได้ว่า เมื่อเปลี่ยนภพ จะเปลี่ยนสภาพ ธาตุจะสามารถเปลี่ยนภพและภูมิได้ โดยปัจจัยหลายอย่าง
โหราศาสตร์ทางธาตุใช้การเปลี่ยนภพภูมิของธาตุ มากำหนดในการอ่านเรื่องของเหตุการณ์ และเอาเหตุการณ์กลับไปอ่านการเปลี่ยนภพภูมิของธาตุ เพื่อให้ทราบเหตุการณ์ที่จะเกิดตาม ต่อๆมาอีก
..........หลักการของโหราศาสตร์ระบบธาตุก็มีอยู่เท่านี้ แต่มีรายละเอียดมากในการปฏิบัติ
การจำแนกธาตุนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะธาตุแต่ละภพ หรือระบบ แม้จะเป็นรูปธรรม หรือนามธรรมที่เหมือนกัน ก็มีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนกัน เช่นโบราณถือว่าธาตุเกิดจากดวงอาทิตย์ เพราะอาทิตย์เป็นแหล่งของชีวิต ดวงอาทิตย์ส่งพลังงานธาตุออกมา แล้วกระจายออกแปรเปลี่ยนเป็นธาตุอื่นๆ
ดวงอาทิตย์ทางดาราศาสตร์ ก็ถือเป็นธาตุ แต่เมื่อเทียบ กับธาตุอาทิตย์ในระบบต่างๆก็ไม่เหมือนกัน
ธาตุอาทิตย์ก็ เป็นเพียงธาตุชนิดหนึ่ง ที่มีความแตกต่างกันอยู่ในแต่ระบบ หรือ ภพ
ดังนั้น ดวงอาทิตย์ในท้องฟ้า ดาวอาทิตย์ในชะตาเดิม และ ชะตาจร อาทิตย์ใน มหาทักษา กับ เกษตรอาทิตย์ในราศีจักร ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เพียงแต่คล้ายกันทางปรัชญา และจะแปรเปลี่ยนสภาพสู่กันได้ทางกลไกระบบธาตุ
นอกจากนี้ธาตุยังอาจผสมกันได้ แตกตัวได้ หรือ เกาะกลุ่มเรียงกันเป็นวัฏจักร เช่น มหาทักษา ก็ได้
ที่สำคัญที่สุด คือกรรม และ การกระทำของมนุษย์ ทำให้ธาตุเปลี่ยน “ภพ” คือระบบ และ “ภูมิ” คือระดับได้ ทำให้เราอ่านเหตุการณ์ต่างๆในชะตาชีวิตเปลี่ยนไป โดยที่กระแสธรรมชาติในดาราจักรยังคงเหมือนเดิม
อย่างที่เคยเล่าให้ฟังถึงโหราศาสตร์ที่ใช้วิธีพิจารณา....วงรอบธรรมชาติ....มาแล้ว (เกณฑ์ชะตา) ว่ามีวิธีพิจารณา เหตุการณ์ตามอายุในดวงชะตา หรือดวงเดิม
แต่เราจะสังเกตได้ว่า หากใช้การพิจารณาสิ่งที่คงที่ เช่น ใช้วัน เดือน ปี เกิด อย่างเดียว จะได้รูปแบบที่ซ้ำกัน เช่น กรณีคนเกิดวันจันทร์ อังคาร ฯลฯ
เมื่อเข้ามหาทักษาก็จะเหมือนกัน หรือกรณีเลข 7 ตัวก็ตาม แม้จะมีรูปแบบมากกว่า แต่ก็ซ้ำกันจนได้
ดังนั้น โหราศาสตร์ไทยจึงไม่ได้ใช้เทคนิคเดียวในการพิจารณาเหตุการณ์ โดยทั่วไปจะพิจารณา “เกณฑ์” ดวงเดิม เพื่อให้ทราบเหตุการณ์ที่เกิดจากวงรอบวัน เดือน ปี ก่อน แล้วจึงใช้โหราศาสตร์ราศีจักรเข้าพิจารณาร่วมด้วย
การพิจารณาอายุ ที่จะเกิดเหตุการณ์ ในระบบธาตุยุ่งยากขึ้น แต่เหตุการณ์จะชัดเจนขึ้น
ในระบบธาตุเองมีวิธีที่จะพิจารณาเรื่องนี้ แบ่งเป็นสองทาง คือ
ทางแรกใช้การตั้งต้นจาก “ธาตุเดิม” ของดวงชะตา แล้วคำนวณการแปรเปลี่ยนไปของธาตุ ในอัตราที่แน่นอนอันหนึ่ง โดยไม่ต้องดูความเป็นไปจริงๆของธาตุ เช่น สมมุติเรามีดวงชะตาเด็กคนหนึ่ง เราสามารถดูชะตาชีวิตโดยลำดับของเขาได้ โดยการคำนวณเปลี่ยนแปลงของธาตุในดวงเดิมไป ว่าอายุเท่าไร ธาตุจะเกิดปฏิกิริยาอะไร
ดังนั้น วิธีนี้ จึงเป็นการพยากรณ์ล่วงหน้าในลักษณะ...อัตราคงที่ ความแม่นยำผิดถูกจึงอยู่ที่เกณฑ์ที่ใช้ และมักจะคลาดเคลื่อนเนื่องจากเวลาเกิด และกรรมที่กระทำโดยเจ้าชะตา
โหราศาสตร์ทางธาตุระบบนี้ คือ ที่เราใช้กันทั่วไปส่วนใหญ่ในทุกวันนี้ ความคลาดเคลื่อนจึงอาจ ผิดได้เป็นปี เช่นพยากรณ์ว่าเจ้าชะตาจะแต่งงานอายุ 30 ปี อาจผิดพลาดได้ ถึง 2 - 3 ปี เนื่องจาก การกระทำของเจ้าชะตาเองมีส่วนผลักดันให้ผิดไป แต่จะมีจุดเด่นที่สามารถบรรยายเรื่องราวเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ละเอียดกว่า เช่น วิชามหาจักร วิชาพฤหัสจักร วิชาตรีทิพย์ เป็นต้น วิชาพวกนี้ใช้ธาตุในดวงเดิมเพียงอย่างเดียว
โหราศาสตร์ทางธาตุแบบที่สอง จะใช้วิธีคำนวณการแปรเปลี่ยนธาตุ จากเหตุการณ์จริงร่วมด้วย เช่น พิจารณาว่าเจ้าชะตาจะร่ำรวย เมื่อแต่งงานได้เป็นเวลา 3 ปีล่วงไป หรือจะไปต่างประเทศ เมื่อมีบุตรคนแรกแล้ว 7 ปี
ดังนั้น จะกำหนดรู้ว่าธาตุได้เริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว เมื่อเจ้าชะตาเริ่มแต่งงานจริง หรือ เริ่มมีบุตรคนแรกจริงๆ เป็นเงื่อนไข ที่จะตั้งต้นนับเวลา เพื่อพยากรณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดตามมา
หากเหตุการณ์ต้นเหตุยังไม่เกิด ก็จะยังไม่ทำนาย หลักเช่นนี้ เป็นหลัก เหตุ และ ผล ในเรื่องจริงของชะตาชีวิตของคนแต่คนมากกว่า เพราะกรรมจากการกระทำจริงของบุคคล จะทำให้เรื่องราวในชะตาเดิมถูกเลือกขึ้นมาแสดงผลไม่เหมือนกัน
ตัวอย่างง่ายๆ จากกรณี เมาแล้วขับรถ เกิดเป็นอุบัติเหตุเสียชีวิต ดังนั้นหากเจ้าชะตาไม่เมา ก็จะไม่เกิดเงื่อนไขให้เสียชีวิตได้ในอายุนั้น
.......การรู้เหตุการณ์จริงของเจ้าชะตาจึงเป็นจุดสำคัญที่จะพยากรณ์ได้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาผลของดาวจร ในขณะที่ธาตุในดวงเดิมแสดงผลชัด โหราศาสตร์ทางธาตุกลุ่มนี้ เช่น วิชาอสีติธาตุวิภังค์ วิชาสุริยโชติรัตน์ เป็นต้น
......ทำให้โหรเก่าๆเรียกชื่อย่อๆ วิชากลุ่มนี้ว่า วิชา “กรรมใหม่” และวิชากลุ่มที่ดูธาตุเดิมในย่อหน้าก่อนว่า วิชา “กรรมเก่า”
ยังมีโหราศาสตร์ทางธาตุอยู่อีกหลายแบบ ที่ไม่อาศัยธาตุดั้งเดิมจากดวงอาทิตย์ แต่ใช้ธาตุของดวงจันทร์ ที่ได้จากดวงอาทิตย์ โหราศาสตร์ในกลุ่มนี้มีอยู่มาก ที่ถูกพัฒนามาหลายรูปแบบ แต่ที่ยังคงรักษาการปรับเข้าราศีจักรได้ดี คือ วิชาวีสตรี (วีสะ – ตรี) เป็นวิชาหวงแหนของนักโหราศาสตร์ ที่ศึกษาไสยศาสตร์ เพราะศึกษาธาตุท้องถิ่น และกรรมต่างๆ รวมทั้งอารมณ์ความรู้สึกอย่างเข้าใจดี โหรที่เชี่ยวชาญวิชาคาถาอาคมสมัยโบราณ มักจะรู้วิชานี้ แต่ต่อมา กลับตกทอดในหมู่สตรีเพศเป็นส่วนใหญ่ นำมาใช้ป้องกันตัว และสมบัติบ้านเรือน
คนสมัยก่อน ท่านใช้วิชาวีสตรีนี้แหละ คู่กับไสยศาสตร์ เสกตุ๊กตาดินเหนียวให้เฝ้าบ้านและสวน แม้จะทิ้งบ้านไปไหนนานนับเดือน ก็ไม่มีศัตรูหรือขโมยหน้าไหน หาทางเข้าบ้าน หรือ หาบ้านเจอได้ หรือใช้ในการเอาสมบัติใส่ตุ่มฝังซ่อนไว้ในดิน แม้จะฝังไว้ตื้นๆ แต่ก็ไม่มีใครหาเจอ หากไม่รู้วิธี และ วันเวลาถอดรหัส นี่เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นว่าโบราณท่านเข้าใจวิชาธาตุได้ลึกซึ้ง รู้ว่าธาตุจะมีปฏิกิริยาอย่างไร และ เมื่อใด จึงจะมีผลได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น