เวลาเรียนโหราศาสตร์ไทยก็เหมือนกันเลย พวกเราบางคนอาจยังไม่เคยสังเกตว่า หากเราเรียนในห้องเรียน เรามักจะถูกสอนเรื่องดาวกุม ดาวเล็ง ดาวทำมุมต่างๆ ต้องเป็นไปตามองศาที่กำหนด แม้จะมีระยะองศาที่ยอมให้คลาดเคลื่อน ที่เราเรียกว่า “ระยะเอื้อม” แต่เมื่อเกินระยะเอื้อมไปแล้ว ก็ไม่ถือว่ามี “ทัศนสัมพันธ์” ที่เป็นไปตามหลักการ เช่นสมมุติมีดาวพุธ อยู่ที่ 5 องศา ดาวศุกร์ อยู่ที่ 25 องศา ที่ราศีธนู ด้วยกัน ตามหลักทัศนสัมพันธ์ (Aspects) จะไม่ถือว่าดาวทั้งสอง “กุมกัน” แต่จะถือเพียงเป็นการ “ร่วมราศี” เท่านั้นเอง แต่พอไปดูโหรผู้ใหญ่พยากรณ์บ้าง ท่านจะเรียกว่า “พุธกุมศุกร์” หน้าตาเฉย พวกเราก็เข้าใจว่าเกิดจากการดูดวงอีแป่ะ แล้วไม่ต้องดูองศานั่นเอง ซึ่งเราเข้าใจกันผิด เพราะดวงอีแป่ะก็ต้องดูองศา.......งงไหม
คำอธิบายของผมตรงนี้จะยอกย้อนอยู่ บางคนอาจจะนึกด่าว่ามาแกล้งเขียนอะไรให้งงเล่นหรือเปล่า อยากให้ลองคิดตามดู เหตุผล ของการที่เรียกว่า “พุธ กุมศุกร์” ได้เลยนั้น เกิดจากธรรมชาติของธาตุดาวในดวงชะตาแบบไทยเอง ตั้งต้นต้องคิดก่อนว่า อันที่จริงนั้นดาวทั้งสองยังไม่กุมกัน แต่เป็นการร่วมราศี ดาวที่ “ร่วมราศี” จะ “กุมกัน” จากเหตุ 2 ประการ หนึ่ง เมื่อใกล้องศา สอง เมื่อมีดาวจรมีพลังงานผ่านเข้าราศี
มีสิ่งที่ต้องรู้ และทำความเข้าใจก่อนว่า ดวงชะตาแบบไทยนั้น ตัวเลขที่เราเห็นในดวงชะตา ไม่ใช่ดาวอย่างโหรระบบอื่น แต่เป็น “ธาตุดาว” ธาตุดาวนั้น เป็นธาตุที่ได้จากดาวจริงในจักรวาล เมื่อดาวได้พลังงานจากดวงอาทิตย์แล้ว จะแตกตัวแล้วส่งมายังโลก ผ่านเข้าดวงชะตาทางลัคนา แล้วไหลวนมาสถิตอยู่ในราศีเดียวกับที่ปรากฏในจักรวาล ดังนั้น จึงดูเหมือน ตัวเลขแทนดาวเหล่านี้ คือดาว แต่จริงๆแล้วมันเป็นธาตุชนิดหนึ่งมีความละเอียด และสามารถทำปฏิกิริยากับธาตุอื่นๆได้ด้วย ธาตุดาว นี้ ไม่ใช่จุด แต่มีขนาดโดยรูปธรรมโดยทั่วไปราว หนึ่งนวางค์ หรือราว 3 – 4 องศา เว้นแต่ดาวที่มีแสง เช่น อาทิตย์ หรือจันทร์จะมีขนาดใหญ่กว่า เล็กน้อย ธาตุดาว มีเนื้อธาตุเดียวกับเกษตรเจ้าเรือนของมันเอง แต่มีพลังงานธาตุน้อยกว่าเกษตร เช่น ธาตุดาวพุธ ก็จะมีธาตุพุธเช่นเดียวกับเกษตร ราศีมิถุน และ กันย์ แต่เกษตรนั้นเป็นธาตุที่มีพลังงานธาตุสูงมาก แต่ละเกษตร หรือราศีนั้น จึงมีสภาพที่สามารถเคลื่อนไปมาได้สูงกว่าธาตุดาว คิดเอาง่ายๆแบบของผมว่า เปรียบเหมือน ธาตุดาว เป็นก้อนน้ำตาลนุ่มๆ เหมือนท้อฟฟี่รสกาแฟ แต่เกษตรราศีเป็นอ่างใส่กาแฟ ที่ร้อนและเหลวไหลได้ ไม่ว่าจะเป็นสภาวะธาตุใดก็ตาม
ธาตุดาวแต่ละดวง ยังมีขนาดที่เปลี่ยนแปลงได้ จากขนาดเดิม ราว 3 - 4 องศา หากมันโคจรพักร มน เสริด ขนาดก็ขยายใหญ่ขึ้นได้ และหากเข้าราศีที่มีสภาวะธาตุที่เป็นมิตรกัน เช่น ดาวพุธ ธาตุน้ำเข้าในราศีธาตุดิน หรือ น้ำ ขนาดมันก็จะขยายขึ้นได้อีก แต่หากเป็นราศีธาตุ ไฟ หรือ ลม ก็จะไม่ขยายตัวเพราะราศี แต่ที่เรียกว่าธาตุขยายขนาดได้นั้น เพราะ ธาตุดาวจะมีคุณสมบัติประการหนึ่ง คือ มีธาตุที่แพร่กระจายออกมาจากตัว เรียกว่า “รอกธาตุ” หรือ “รอกดาว” ซึ่งเกิดจากธาตุดาวคายออกมา คิดง่ายๆแบบของผมก็คล้ายลำไย ธาตุดาว คือ เม็ดลำไยที่มีสีดำ รอกธาตุ คือเนื้อลำไยสีขาว แต่นุ่มๆฟูๆ เหมือนสำลี ส่วนที่เป็นรอกธาตุนี่เองที่เป็นส่วนที่แปรขนาดได้ และรอกธาตุยังเป็นสิ่งแรกของดาวที่เข้าดึงดูดธาตุอื่นเข้ามาทำปฏิกิริยากัน เวลานี้ ผมไม่มีกระดานดำเขียนให้เห็นรูปกราฟฟิกส์ ดังนั้น พวกเราต้องนึกเอาเองว่า ในดวงชะตามีธาตุดาวเหมือนก้อนสำลีกลมๆ หลายๆสี แทนดาว โคจรสถิตอยู่ตามราศีต่างๆในดวงชะตา เมื่อธาตุดาวอยู่ใกล้องศากัน แม้ไม่อยู่ในระยะเอื้อมองศาทีเดียว แต่รอกธาตุก็แพร่ถึงกันได้ ซึ่งทำให้เกิดเรื่องราวได้บางเรื่อง ดังนั้น ดาวทั้งสองแม้จะร่วมราศีก็อาจมีสภาพเหมือนกุมกัน นั่นเป็นประการแรก
ประการที่สอง การกุมกัน ยังเกิดจากอิทธิพลของ “ดาวจร” ขอให้มองสมมุติ หากมีดาวจรดวงหนึ่ง โคจรผ่านเข้ามาในราศี จะมีปฏิกิริยากับดาวพุธ และศุกร์ ในตัวอย่างของเรา แม้ดาวจรไม่ได้ทับดาวใดสนิทองศา แต่จะมีปฏิกิริยาต่อเนื่องถึงกันได้ โหรบางท่านจึงเปรียบเทียบว่าเหมือน (นักดนตรีไทย) ที่ ตีรูดลูกระนาด เพราะเกษตรราศีนั่นเอง เป็นเหมือนอ่างกาแฟใหญ่ ที่มีกระแสพลังงานธาตุเคลื่อนที่ได้ ทำให้ดาวพุธ และ ศุกร์ ทั้งสองมีสภาพเดียวกับกุมกันสนิท ดาวจรตัวการนั้นหาไม่ยาก เช่น จันทร์จร นั่นเองที่เดินเร็ว จึงมักเป็นตัวสำคัญให้ดาวกุมกัน หรือ มีทัศนสัมพันธ์ถึงกัน ในดวงชะตา คนที่ชำนาญจึงเพ่งเล็งดูดาวจันทร์จร ก่อนจะพยากรณ์เหตุการณ์เสมอ ต่างจากพวกเราส่วนมากที่ไม่ค่อยสนใจดาวจันทร์โคจรเลย นอกจากดาวจันทร์แล้ว ดาวจรทุกดวงที่กำลังมีพลังงาน (โหรส่วนมากใช้คำว่า “ได้รับแสง”) ก็จะใช้ได้เช่นกัน
อิทธิฤทธิ์ของดาวจรต่อมุมดาว ยังอยากยกตัวอย่างมาอีกอัน เช่นสมมุติ มีดาวอังคารอยู่ที่ 2 องศา ราศีมิถุน และมี ดาวเสาร์อยู่ที่ 28 องศาราศีตุลย์ ปกติดาว 2 ดวงนี้ จะไม่ตรีโกณกันเลย แต่ถ้ามีดาวจร ซึ่งมีแสง(พลังงาน) จรเข้าราศี มิถุน หรือ ตุลย์ ก็ถือว่า อังคารตรีโกณถึงเสาร์เช่นกัน........เหตุผลนั้นเกิดจากกระแสธาตุในเกษตรราศี นั่นเอง ถ้าหากเราจะใช้จินตนาการ ต้องคิดว่า มุมดาวทั้งหลายในโหราศาสตร์ไทย เป็นลำกระแสใหญ่ เหมือนยิงปืนลูกซองดาวกระจาย ไม่ใช่ลูกโดด ที่ เป็นเส้นตรงเรียวเล็ก หรือผอมๆ หรือในธรรมชาติที่พบในชีวิตประจำวัน เราจะรู้กระแสลมที่ม้วนตัวพัดมาปะทะใบหน้า เป็นลำของลมขนาดใหญ่ นั่นจะคล้าย “กระแสธาตุระหว่างดาว” ที่โหรไทยโบราณคำนึงถึง ซึ่งไม่ใช่เส้นดินสอตรงเป็นบันทัดแบบโหราศาสตร์ระบบอื่นๆ
ด้วยเหตุนี้เอง โหรผู้ใหญ่จึงอ่านดาวโดยรวบรัดว่าดาวกุมกัน หรือ เล็ง และทำมุมอื่นๆ เพราะเข้าใจเงื่อนไขของกระแสธาตุดาว พึงเข้าใจว่า หากเราจะอ่านเช่นนี้บ้าง ต้องเข้าใจที่มา เหตุผล พร้อมทั้งเงื่อนไขของมันด้วย ไม่ใช่เข้าใจผิดๆว่า ดวงอีแป่ะนั้นง่ายๆ จะดูอะไรก็ดูได้ตามสบาย จึงเผลอสรุปว่า โหรไทยนั้นมักง่าย จึงอ่านง่ายๆ โดยไม่ต้องดูองศา และ เป็นโหราศาสตร์ชนิดไม่มีเหตุผล แต่ตรงกันข้าม โหราศาสตร์ไทยนั้นมีเหตุผลอยู่มากมายทุกเรื่อง ชนิดอธิบายสั้นๆกันไม่จบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น