.........คราวก่อนเขียนเรื่องวิธีที่ผู้ที่เริ่มหัดเรียนควรจะทำ
..........เมื่อเรียนโหราศาสตร์ทีแรก เราจะทำนายกันยากสักหน่อย พอฝึกไปนานสักนิดก็เริ่มจะอ่านดวงเดิมได้คล่องขึ้น ทายไปคนเขาก็ว่าถูก
แต่พอเขากลับมาถามเรื่องเดิมอีก ตามหลักก็ต้องทายซ้ำอีกเพราะรูปดาวมันมีแค่นั้น ทั้งๆที่สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว เราก็ต้องเริ่มไปใช้ดวงจรมาทาย
ที่นี้หลักดาวจรมันทายยากขึ้น แล้วจะเริ่มงง เพราะการทายจร มักจะขัดกับดวงเดิม หรือขัดกันเอง แปลความชักจะไม่ค่อยออก จะทายติดขัด
จะไปยึดดาวจร ปรากฏว่าเหตุการณ์มันมาออกที่ดวงเดิม พอไปยึดดาวเดิม เหตุมันดันมาเกิดที่ดาวจร การทายก็เลยต้องเหวี่ยงแหครอบจักรวาลเข้าไว้
ที่ร้ายไปกว่านั้น เกิดไปทายว่าเขาจะรวย เขาก็เกิดถามอีกว่าเขาจะรวยเมื่อไร วันไหน อายุเท่าไร ทำอะไรจึงจะรวย ขืนเดาไป ต่อๆไป ทายคนคนเดียวกัน แต่ไม่เหมือนกัน เขามาต่อว่าจะทำอย่างไร
..........ที่เป็นเช่นนี้ เกิดจากสาเหตุประการเดียว คือเราไม่รู้ “เหตุผล ” ของการทำนาย ไม่เคยมีใครมาบอกเราชัดเจน ว่า ทำนายอย่างนั้น เอามาจากไหน มีแต่อ้างว่าเขาสอนกันมาอย่างนี้นานแล้ว ตำราว่าไว้อย่างนั้นอย่างนี้ หรือเกิดจากสถิติเป็นแบบนี้ จึงกลายเป็นการขีดเส้นให้เดินไปเป็นการท่องจำ
วิธีการจริงๆนั้น เราทุกคนต้องคิด ตั้งคำถามถามตัวเอง แล้วจะเข้าใจเอง เกิดเป็นทักษะ การคิดตามแบบของคนอื่นจะทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะการทำนายทางโหราศาสตร์นั้น เมื่อเข้าใจแล้ว ก็ไม่ต้องมานับหนึ่ง สอง สาม กันตามตำรา แต่อยู่ที่ไหวพริบปฏิภาณนั่นเอง
..........เวลาเราพิจารณาเรือน หรือดาวเพื่ออ่านเรื่อง เราอย่าอ่านมุมเดียว ดาวเดียว แต่ขอให้อ่านทุกแง่ทุกมุม ทุกเรื่องทุกความสัมพันธ์ แล้วเราสร้างเรื่องที่อ่านได้ขึ้นมา
สมมุติอย่างเช่น เจ้าเรือนกดุมภะไปอยู่เรือนมรณะ อ่านแบบนักเรียนง่ายๆว่า เงินทองจะจากไป คำถามที่ต้องตั้งให้แก่ตัวเองก็คือว่า มันจากไปทางไหน อย่างไร โดยใคร หรือ อะไร เมื่อไร ทำไม มีใครหรืออะไรเกี่ยวข้องบ้าง เกี่ยวข้องอย่างไร เงินมันไปทั้งก้อน หรือเหลือบ้างไหม ส่วนที่เหลือมันเป็นอย่างไร เพราะอะไร อยู่ที่ไหน อย่างไร โดยอะไร ทำไม มีอะไรเกี่ยวข้องบ้าง และเมื่อเงินทองจากไปหมดจะมีเงินใช้ได้อย่างไร เงินทองมันมีที่มาจากไหน วิธีใด ฯลฯ
คำถามที่ตั้งขึ้นแบบนี้ ดูๆมันเหมือนเลอะเทอะไร้สาระ และมากมายเกินเหตุ
นี่แค่อ่านเรือนมาประโยคเดียว ยังยุ่งแค่นี้ ขืนอ่านทั้งเรือนและดาวหมดทั้งดวง คงดูเดือนหนึ่งไม่เสร็จ
..............แต่ใครคิดแบบนี้ก็เข้าใจผิดครับ พอเราอ่านเรือน และดาวสัมพันธ์กันไป
มันจะเริ่มวนซ้ำ เราจะได้ภาพที่ชัดขึ้น
และบางคำถามหาคำตอบไม่ได้ ก็ไม่ต้องวิตกเกินเหตุ แต่เราจะรู้ว่าอะไรมันสัมพันธ์กันอย่างไร
การที่เราหมั่นสงสัยไปทุกอย่าง แทนที่จะอ่านโดยดื้อๆ นั้น จะทำให้เราทราบเรื่องราวหลายหลากที่อาจเป็นไปได้ในดวงชะตานั้น พออ่านหลายๆดวงเข้า คำถาม คำตอบมันก็จะผุดขึ้นมาเอง เพราะชำนาญในการคิด
..........แต่สิ่งสำคัญของการพิจารณาดวงชะตา ก็คือ “การหาเหตุผลของเรื่องราวในชีวิตมนุษย์ ไม่ใช่การอ่านพรหมลิขิตที่บังคับให้ชีวิตเป็นไป”
เช่น คนคนหนึ่งเมื่อเขาจน หรือรวย
เราควรถามตัวเองและหาความรู้ให้ได้ว่า เขาจน หรือรวย มาได้เพราะเหตุใด
เพราะโหราศาสตร์ไม่มีอะไรที่แตกต่างจากชีวิตจริง
การอ่านดวงชะตาไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน คำทำนายนั้นต้องสัมผัสได้ ไม่ใช่ทายแบบลอยบนก้อนเมฆ ไม่เห็นเป็นรูปธรรม
เพราะเวลาทำนายจริงๆ หากคุณทำนายว่าต่อไปเขาจะรวย เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เขาจะถามคุณทันทีว่า เมื่อไรจะรวย ทำอะไรจึงจะรวย
..........ขอให้ทราบไว้ว่า ประโยคที่เราอ่านได้ประโยคเดียวในดวงชะตา เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเรือนและดาว ซึ่งเกิดจากเหตุการณ์หลายอย่างที่ซ้อนอัดแน่นกันมาเป็นจำนวนมาก ดาวจร จะทำหน้าที่ดึงเอาเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมาเด่นกว่าเหตุการณ์หนึ่ง ในเวลาใดเวลาหนึ่ง เหมือนอ่างน้ำมีลูกปลาอยู่ร้อยตัว
ถ้าเราเอาสวิงตักขึ้นมา อาจจะได้ เป็นปลาตัวใดตัวหนึ่ง ไม่ใช่ปลาทุกตัว อาจเป็นปลาตัวเดิม หรือปลาตัวใหม่ หรือปลาสองตัวขึ้นไปก็ได้ และบางตัวก็ไม่เคยถูกตักขึ้นมาเลย
ถ้าเราอ่านดวงเดิมได้หลากหลายเรื่องราว เวลาอ่านดวงจรก็จะคมชัดขึ้น และอ่านนานเข้า สังเกตจากผลที่เกิดขึ้นจริง เราก็จะรู้ว่าหลักที่เราอ่านมานั้น อะไรเท็จอะไรจริงเชื่อถือได้
...........แนะนำมือใหม่หัดเรียนกันมาพอสมควรหลายตอนแล้ว ต่อๆไปจะเป็นเรื่องแนวคิดพื้นฐาน เกี่ยวกับโหราศาสตร์ทั่วไปละ
1 ความคิดเห็น:
ขอบคุณที่บันทึกไว้ให้ได้ศึกษาค่ะ
แสดงความคิดเห็น