........เมื่อแรกหัดเรียนโหราศาสตร์ไทยใหม่ๆ ส่วนใหญ่พวกเราไม่ค่อยมีปัญหาอะไร เพราะการที่เราเรียนแต่ละเรื่องไปนั้น จำกัดวงความคิดเราให้อยู่กับเรื่องนั้น เช่น เรียนเรื่องอุจ เกษตร เรื่องเรือนชะตา ราศีเกณฑ์ หรือ มุมระหว่างดาว เรียนแล้วก็หมูมาก หลายคนท่องได้จนคล่องปาก แต่พอไปดูดวง ส่วนใหญ่มักจะจับอะไรไม่ถูก เพราะสิ่งที่เรียนมันเข้ามาตีกันวุ่นวายไปหมดในสมอง
........สิ่งที่มาช่วยเราคือการกำหนดขั้นตอน
อาจารย์ส่วนมาก จะช่วยบอกขั้นตอนให้ว่าควรทำอะไรบ้าง การทำแบบนี้ก็ดี จะช่วยพัฒนาไปขั้นหนึ่ง เหมือนหัดว่ายน้ำในคลอง แล้วใช้ลูกมะพร้าวพยุงตัว
แต่การที่ยึดขั้นตอนไว้ แม้จะพอไปได้ แต่พอจะพยากรณ์ก็มักจะติดๆขัดๆ จะพูดก็ไม่ชัด มีแต่ข้อแม้ อาจ เป็นนั่นอาจเป็นนี่ก็ได้ ไม่แน่ไม่นอน เพราะเวลาดูความสัมพันธ์เรือนก็ตาม ดาวก็ตาม จะมีทั้งเรือนดี เรือนเสีย ดาวดี ดาวเสีย มาสัมพันธ์กันอีรุงตุงนังไปหมด ในที่สุดก็ลงความเห็นไม่ได้ว่าเป็นอย่างไรกันแน่
อุปสรรคสำคัญที่นักเรียนส่วนใหญ่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ขัดข้องก็คือ ไม่รู้ว่าจะทายดีหรือ ทายเสีย พออาจารย์ว่าทายเสีย หรือทายดีก็ลุยเลย การทายแบบนี้ก็ไม่ดีไปกว่าการเสี่ยงทาย หัว หรือก้อย มีสิทธิ์ถูกและผิดเท่าๆกัน
..........ถ้าเราผ่านดวงชะตาบ่อยๆ เราจะรู้เลยว่า
ในดวงๆหนึ่งเราจะดูไปทางเลว หรือทางดีก็มีเหตุผลมาสนับสนุนทั้งสองอย่าง
เช่นถ้าคุณรู้ว่าคนนี้เดิมเขาเกิดมาเป็นกำพร้ายากจนไม่มีอะไร ต่อมาบากบั่นต่อสู้จนได้เป็นรัฐมนตรี เราวิจารณ์ดวง อะไรก็ดูมันง่ายไปหมด โน่นก็อุจ นี่ก็เกษตร นี่ก็คู่มิตร นี่ก็คู่ธาตุ เดี่ยวก็มีดาวเป็นโยค เป็นเกณฑ์ เป็นเดช เป็นศรี เป็นพระยา
แต่พอกลับกัน ประวัติเขาไม่ดี รัฐมนตรีคนนี้คอรับชั่นกลับกลายเป็นโจร ต้องติดคุก เราก็เห็นประเด็นเยอะแยะ โน่นก็กาลกิณี นี่ก็ อริ มรณะ วินาสน์ โน่นก็พินธุบาทว์ แถมขับดวงชะตาตกเรือนดี ก็ว่าทำลายความดีเสียอีก นี่เป็นเพราะเราคลำจากผลไปหาเหตุ แล้วเลือกเฉพาะเหตุที่พอใจเรา เป็นอคติอย่างหนึ่งที่ร้ายแรงมาก
.........เราควรฝึกอย่างมีหลักการ การเริ่มดูดวงชะตา ขั้นแรก ควรกำหนดดูที่ เรือนตนุ ก่อน ดูทั้งดาวในเรือน และดูตามเจ้าเรือนไป
เสร็จแล้วก็ดูต่อไปตามเจ้าบ้านที่เจ้าเรือนอยู่นั้นไปเรื่อย เอาไว้ขั้นหนึ่งก่อน
ขั้นต่อมาจึงกลับไปดูอย่างเดิมอีกรอบหนึ่ง แต่คราวนี้ดูเรือนที่สัมพันธ์ถึงตนุ และ เจ้าเรือนในสายแรกในขั้น หนึ่งนั้น.ให้หมด
..........การดูสัมพันธ์เรือนแบบนี้ จะช่วยให้เรารู้จักเจ้าชะตาไปก่อน เหมือนเปิดหนังสืออ่านสารบัญไปอย่างคร่าวๆ ยังไม่ต้องดูดาว ว่าเป็นอุจ เป็นนิจ หรืออะไร
สิ่งที่เราได้ก็คือ ลีลานิทานชีวิตของเจ้าชะตา โดยยังไม่ต้องรู้ว่ามันดีเลวอย่างไร ลำบาก หรือสบายแค่ไหน เหมือนคนคนหนึ่ง เดินมา นั่งลง กินข้าว ให้รู้ไว้ ไม่ต้องไปรู้ว่ากินกับข้าวอะไร อร่อยไหม นั่งบนเก้าอี้สีอะไร ทำนองนั้น
..........ต่อมาเราจึงค่อยไปจับดาว มีตำแหน่งดีเลวอย่างไร
จับทางราศีก่อน เพราะส่วนขยายทางนิทานชีวิตจะยังไม่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้
ส่วนขยายนิทานชีวิตนั้น ดวงดาวจะมีน้ำหนักมากกว่า
เราจึงควรดูดาวในราศี ในเรือน เป็นสำคัญ
เมื่อได้รู้หมดว่าคุณภาพดาวเป็น อุจ เกษคร ประ นิจ ราชาโชค มหาจักรอย่างไรแล้ว
ให้กลับไปอ่านขั้นหนึ่งมาใหม่
เราจะเห็นสีสันของนิทานชีวิตเขาเพิ่มขึ้น
ต่อไปจึงค่อยดูความสัมพันธ์ทางดาว
จะเป็นมุมดาว ดาวคู่ ดาวกุม ดาวเล็ง พวกนี้ มาขยายความเข้าไปอีก
เพียงเท่านี้ นักเรียนโหราศาสตร์มือใหม่ควรทำให้ได้เสียก่อน เมื่อทำชำนาญมากเข้าแล้ว วันหลังเราอ่านเที่ยวเดียว ก็สามารถทำได้ครบทุกอย่างโดยไม่ยุ่งเหยิงเลย
...........การที่ไม่ได้ให้ไปอ่านอย่างอื่น ก็เพื่อไม่ให้เราสับสนเกินเหตุ
เพราะเพียงถ้าเราใช้หลักที่บอกข้างต้นนี้ ก็เพียงพอทำนายได้แล้ว
ถึงแม้จะยังไม่สวย ไม่มีลูกเล่น หรือไม่ชัดเจน
แต่การที่เราทำนายง่ายๆ เช่นว่า คุณจะผิดหวังเรื่องคู่ หรือผลงานจะเสียเพราะลูกน้อง แต่ถูกต้อง ก็นับว่าบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว โดยที่เรายังไม่ได้หาสาเหตุแท้จริงของเรื่องราว หรือบอกรายละเอียดปลีกย่อยอะไรไป ขอให้ลองฝึกทำเช่นนี้จนคล่องดูสักที จะดีกว่าการเรียนแกว่งเปะปะ บางคนเรียนแต่สะสมวิชาไว้มาก ก็จะไม่ได้อะไรมากกว่าเรา
...........การอ่านแง่มุมอื่น เช่น ถือเอาตนุลัคน์ หรือตนุเศษ เป็นทางอ่าน อย่างที่เขามักสอนกัน ไว้รอให้เราคล่องก่อนแล้วค่อยมาดูก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อน
1 ความคิดเห็น:
ขอบคุณค่ะสำหรับแนวทาง อาจารย์สอนเก่งนะคะ ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก ดวงอะไรคะที่ทำให้สอนเก่งอย่างนี้
แสดงความคิดเห็น